แว่น Google กลับมาคราวนี้ เข้าใจโลกกว่าเดิม/Cool Tech จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

แว่น Google

กลับมาคราวนี้

เข้าใจโลกกว่าเดิม

 

ผ่านมาเกือบ 10 ปี ในที่สุด Google ก็เข้าใจแล้วว่าปัจจัยอะไรที่จะทำให้คนอยากซื้อและอยากใช้แว่นตาอัจฉริยะ

ปี 2013 Google เปิดตัว Google Glass แว่นอัจฉริยะดีไซน์แปลกแตกต่างให้คนทั่วไปสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ในราคาที่สูงลิ่ว แม้จะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากโลกอนาคตเพราะเป็นแว่นที่สวมแล้วทำให้เรามองเห็นข้อมูลต่างๆ ฉายอยู่เบื้องหน้าดวงตาของเรา

แต่ด้วยความไม่สมบูรณ์แบบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่แปลกจนคนทั่วไปเข้าไม่ถึง ความไม่สบายในการสวมใส่ แบตเตอรี่ และข้อจำกัดด้านการใช้งานอีกหลายอย่าง

หนักที่สุดก็น่าจะเป็นราคาที่สูงถึง 50,000 กว่าบาท ที่มีแต่คนในแวดวงเทคโนโลยีหรือเออร์ลี่อะด็อปเตอร์ตัวยงเท่านั้นที่จะยอมควักกระเป๋าซื้อก็เลยทำให้กระแส Google Glass แผ่วหายไปอย่างรวดเร็ว

จนในที่สุด Google ก็ต้องประกาศหยุดผลิตไปก่อนชั่วคราวในปี 2015

ปี 2022 ในงาน Google I/O ล่าสุด Google กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการแย้มโฉมแว่นตาแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality ซึ่งเห็นได้ชัดว่า Google กลับไปทำการบ้านมาเป็นอย่างดี

แว่นตา AR ล่าสุดของ Google ที่ในตอนนี้ยังเป็นโปรโตไทป์หรือตัวต้นแบบและยังไม่ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการมาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ของการเป็นแว่นที่จะสามารถแปลภาษาให้กับผู้สวมใส่ได้แบบตามเวลาจริง

Google ออกวิดีโอโปรโมตที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เล่าว่าความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย เพราะแม่ของเธอพูดภาษาจีนกลางแต่ตัวเธอเองกลับพูดได้แค่ภาษาอังกฤษ

แม่ของเธอให้สัมภาษณ์ว่าเวลาลูกสาวพูดภาษาอังกฤษกับเธอ เธอก็พอจะฟังออกอยู่หรอก แต่แย่ตรงที่ตอบกลับไปไม่ได้เลย

คนของ Google นำแว่น AR ตัวต้นแบบไปให้แม่ลูกคู่นี้ทดลองใช้งาน เมื่อลูกสาวสวมแว่นเข้าไป สิ่งที่มองเห็นตรงหน้าก็คือตัวอักษรหรือซับไตเติลที่ปรากฏขึ้นมาตามเสียงของผู้พูดที่กำลังพูดอยู่ในขณะนั้นๆ คล้ายๆ กับการที่เราดูคลิปวิดีโอที่มีซับไตเติลแบบอัตโนมัติที่วิ่งมาตามหลังเสียงพูดเพียงนิดเดียว

ความน่าทึ่งด้านการออกแบบก็คือแว่นนี้จะวางซับไตเติลทับภาพสิ่งที่ผู้สวมมองเห็นอยู่จริง ณ ตอนนั้นในตำแหน่งที่ไม่ซ้อนทับกับหน้าของผู้พูดเลย

ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูหนังสักเรื่องที่มีซับไตเติลอยู่เยื้องๆ กับนักแสดง ทำให้ไม่เสียสมาธิในการฟัง และไม่ต้องกวาดสายตาออกห่างจากใบหน้าของคู่สนทนามากเกินไปในเวลาที่ต้องอ่านคำบรรยายเหล่านั้น

เมื่อทั้งแม่และลูกสวมแว่นกันคนละอัน คนหนึ่งก็จะเห็นคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ อีกคนก็จะเห็นคำแปลเป็นภาษาจีน ทำให้สื่อสารกันได้รวดเร็วขึ้น เข้าใจกันได้ดีขึ้น ถ่ายทอดอารมณ์กันได้สมจริงขึ้น

 

เมื่อเทียบประโยชน์ใช้สอยกับ Google Glass ที่แม้จะทำได้มากกว่า เพราะ Google Glass ทั้งท่องเว็บได้ อ่านข้อความได้ ถ่ายภาพถ่ายวิดีโอก็ได้ แต่แว่น AR นี้กลับใช้งานจริงได้ดีกว่า การใช้งานชัดเจนกว่า จับต้องได้มากกว่า และน่าสนใจมากกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้าเยอะ

เพราะผู้ใช้งานเห็นแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าแว่นตานี้ออกแบบมาเพื่ออะไร และจะคาดหวังอะไรจากมันได้บ้าง ผิดจาก Google Glass ที่ถึงจะล้ำสุดๆ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสวมใส่มันเอาไว้ทำอะไร

ส่วนเรื่องความสามารถในการแปล Gogole ก็มีประสบการณ์ยาวนานมาจากการทำ Google Translate ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำและเห็นได้ชัดว่ามันเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันแรกๆ ที่เราเริ่มใช้งาน ภาษาที่คนใช้งานเยอะๆ อย่างภาษาอังกฤษเมื่อแปลสลับกับภาษาจีนที่ใช้งานอย่างแพร่หลายฉันก็เชื่อว่ามันเป็นธรรมชาติและแม่นยำขึ้นมาก

ถ้าหากแว่น AR นี้สามารถรองรับทั้ง 133 ภาษาที่ Google Translate แปลได้ในขณะนี้ ก็หมายความว่าในอนาคตอันใกล้เราน่าจะสามารถสวมแว่น AR ของ Google และเดินทางไปทั่วโลกโดยมีกำแพงทางภาษาที่ถูกลดให้ต่ำลงกว่าเดิมเยอะ

ก่อนหน้านี้มีแก็ดเจ็ตหลายชนิดที่ช่วยให้เราสามารถแปลภาษาได้แบบตามเวลาจริงหรือใกล้เคียงเวลาจริง อย่างเช่น เครื่องแปลภาษาต่างๆ ที่มีวางขายในท้องตลาด อาจจะเป็นชนิดที่เราพกติดตัวไว้แล้วหยิบขึ้นมากรอกเสียงใส่ลงไปในเวลาที่ต้องการจะแปล

(อันนี้ขอหมายเหตุไว้นิดหนึ่งว่าการจะซื้อเครื่องแปลภาษาบนอินเตอร์เน็ตต้องหาข้อมูลดีๆ อย่าเพิ่งไว้ใจอะไรง่าย ๆ คลิปวิดีโอรีวิวเครื่องแปลภาษาของฉันก็ถูกคนโกงดูดไปใช้หลอกเงินคนตาม Facebook โดยบอกว่าขายราคาถูกๆ แต่ถ้าคุณหลงกลซื้อมาสิ่งที่คุณจะได้รับจะไม่ใช่เครื่องแปลภาษาแน่นอน)

หรืออาจจะมาในรูปแบบของหูฟังที่เมื่อสวมเข้าไปก็จะมีเสียงแปลบทสนทนาให้เรา ซึ่ง Google เองก็เคยทำมาแล้วด้วยเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม การแปลภาษาทั้งในรูปแบบอุปกรณ์พกพาหรือหูฟังที่เราสวมเอาไว้ก็ไม่อาจหยิบยื่นความสะดวกสบายในการรับสารได้ดีเท่ากับแว่นตาที่แสดงภาพให้เราเห็นอยู่ตรงหน้าเพราะเราต่างก็คุ้นเคยกับการอ่านซับไตเติลกันอยู่แล้ว วิธีนี้ก็จะไม่ทำให้เราวอกแวกเสียสมาธิเมื่อเทียบกับการต้องคอยฟังเสียงในหูอย่างตั้งใจ

และแปลได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่เราต้องค่อยๆ แปลทีละประโยค

 

ในตอนนี้ Google ยังไม่ได้เผยแผนว่าจะทำแว่น AR นี้ออกมาวางขายเมื่อไหร่ หรือแม้กระทั่งจะออกมาขายได้จริงหรือเปล่าในที่สุด

แต่คอนเซ็ปต์นี้ก็ยังน่าประทับใจมากอยู่ดี แม้เบื้องหลังอาจจะซับซ้อนแต่เบื้องหน้ากลับดูเรียบง่าย น่าใช้

ที่สำคัญแว่นของ Google กลับมาคราวนี้หน้าตาแสนจะธรรมดา เป็นแว่นกรอบสีดำ มีเลนส์เหมือนแว่นปกติ (Google Glass ไม่มีเลนส์แว่น) ถึงจะกรอบและขาแว่นหนาหน่อยแต่ถ้าใส่เดินตามท้องถนนทั่วไปก็จะกลมกลืนแนบเนียน ไม่มีใครเหลียวหลังมองแน่ๆ แบบนี้ก็จะทำให้คนสวมใส่ได้แบบไม่ต้องเขินอาย

ในเมื่อ Google มีบริการหลายอย่างที่คนทั่วไปใช้งานในชีวิตประจำวันกันชนิดที่แทบจะขาดไม่ได้ ก็จะไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อ Google วางขายแว่นนี้จริงๆ ก็อาจจะมีความสามารถอื่นๆ ที่ถูกเติมเข้ามาได้

อย่างเช่น การใช้งาน Google Maps โดยให้แว่นแสดงผลบอกทางขึ้นมาเป็นระยะๆ ด้วยการซ้อนลูกศรลงไปภาพที่เรากำลังมองเห็นตรงหน้า เพื่อให้เดินตามได้ถูกต้องแบบไม่ต้องคอยก้มหน้าดูทางในโทรศัพท์เหมือนปัจจุบัน

ตลาดแว่นตาอัจฉริยะเป็นตลาดที่หลายแบรนด์เทคโนโลยีหมายตา ก่อนหน้านี้ Facebook ก็เปิดตัวแว่น Rayban Stories ไปแล้ว ท่ามกลางข่าวลือว่า Apple เองก็จะลงสนามนี้เช่นเดียวกัน

สิ่งที่น่าลุ้นก็คือแว่นของใครจะสามารถจับจองพื้นที่บนใบหน้าของผู้ใช้งานได้สำเร็จเป็นแบรนด์แรก