สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร /ต้าน”ลิ่ม”

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————-

ต้าน”ลิ่ม”

————————–

ขณะที่การตอก”ลิ่ม”ทลวงเข้าไปทั้งในรัฐบาลและความสัมพันธ์ของ 3 ป. ของคนเพื่อไทยและคนในกลุ่ม 16 มากด้วยสีสัน และความแรง

จนสามารถชี้นำให้เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหนื่อยหนักแน่ๆนั้น

ฟากรัฐบาล หากปล่อยให้ “ความเชื่อ”เช่นนี้ไหลไปเรื่อยๆย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน

จำเป็น ต้องมี การ”ต้าน”ลิ่ม

เบื้องต้นที่สุด เป็นไฟต์บังคับ ที่พี่ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องมีแอ๊คชั่นโดยพยายามมิให้เกิดการดินเนอร์ ระหว่างร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า กับนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร

เพราะนอกจากจะเป็นการติดเบรคการรุกของพรรคฝ่ายค้านแล้ว

ยังจำเป็นต้องแสดงให้ น้องตู่ พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่าพี่ป้อมมิได้วางเฉยกับการเคลื่อนไหวของร.อ.ธรรมนัส มิฉะนั้นยิ่งจะทำให้ ความหวาดระแวงระหว่าง 2 ป.ขยายออกไปอีก

จึงจำเป็นที่พล.อ.ประวิตร ต้องออกมาการันตีว่า ร.อ.ธรรมนัสจะไม่ไปดินเนอร์

ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่ เอาไว้เป็นเรื่องข้างหน้า ตอนนี้ต้องลดกระแสก่อน

ซึ่งนอกจากการต้าน”ลิ่ม”ของพล.อ.ประวิตรแล้ว ที่กลายเป็นมือต้าน”ลิ่ม”ไปอีกคน คือ นายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งนอกจากไปร่วมวงกินข้าวกับพรรคเล็ก ยังหอบหิ้วกระเช้าดอกไม้ในฐานะตัวแทนพล.อ.ประยุทธ์ไปอวยพรวันเกิดคนในกลุ่มพรรคเล็ก เอาใจเพื่อยื้อไม่ให้เทไปยังฝ่ายค้าน

พร้อมทั้ง ก่อกระแส”ชวน”เชื่อ ว่า เสียงรัฐบาลในสภา ยังเหนียวแน่นไม่ต่ำกว่า 250 เสียงแน่นอน

เป็นสงครามข่าว ที่บลัฟกันไปมา ซึ่งก็ว่ากันไป

ขณะที่อีกด้าน ซึ่งต้าน”ลิ่ม”เนียนๆเขี้ยวๆ อย่างน่าจับตามอง

คือ การชี้นำของ นายวิษณุ เครืองาม

โดยขณะที่ ฝ่ายค้านตอกลิ่มว่า ปมวาระนายกรัฐมนตรี 8 ปี จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ตกจากเก้าอี้นั้น

ล่าสุดนายวิษณุ ก็ได้ชี้นำแล้วว่า การนับวาระ 8 ปี ต้องนับตามรัฐธรรมนูญปี 2560 จะไปนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2557 ไม่ได้

รวมถึงปม ยื่นบัญชีทรัพย์สินก็ไม่ได้เกี่ยวกันเลย เพราะเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของรัฐธรรมนูญปี 2557

สิ่งที่นายวิษณุชี้นำ จึงมองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากยืนยันว่าปมวาระ 8 ปีไม่อาจทำให้พล.อ.ประยุทธ์ สะดุด ยังไปต่อได้

และไปต่อแบบไกลๆด้วย

เพราะนายวิษณุ แย้มอีกว่าพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่ว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม

ไม่น่าเป็นเช่นนั้นแล้ว

เพราะไม่รู้จะเข้ารัฐสภาเมื่อใด

อีกทั้งพิจารณาเสร็จแล้วยังต้องส่งให้กกต.พิจารณา ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ถ้าไม่มีการแก้อะไรก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามกรอบเวลา 90 วัน

จึงไม่ต้องคาดการณ์ อย่างไรก็ไม่ใช่เดือนกรกฎาคมแน่

แถมหากใครมีข้อสงสัย ยังสามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้อีก

ซึ่ง “ใคร”ที่ว่านั้น นอกจากพรรคเล็กแล้ว

ที่ไม่อาจมองข้าม คือ ส.ว.

ซึ่งดูจากการโหวตสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ให้ใช้ 100 หาร ที่ฝ่ายพรรคการเมืองใหญ่ ชนะไป 32 เสียง ต่อ 11 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง นั้น

ปรากฏว่า 9 ใน 11 ที่ไม่เห็นด้วย คือ ส.ว. และส.ว.งดออกเสียงอีก 1

จึงเป็นสัญญานชี้ว่า ส.ว.250 เสียงอาจไม่เอออวยกับสิ่งที่พรรคการเมืองต้องการ

ซึ่งต้องสู้กันต่อในวาระ2และ 3ของรัฐสภาแล้ว

ยังอาจลากยาวไปถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วย

2 กฏหมายลูก จึงส่อยืดเยื้อ

นั่นย่อมทำให้กระแสกดดันให้ยุบสภาจากพรรคการเมืองที่ต้องการให้กฏหมายลูกผ่านก่อนนั้น ต้องชงักไปด้วย

พล.อ.ประยุทธ์จึงส่ออยู่ยาวไปด้วย

“ลิ่ม”ที่หวังตอกให้พล.อ.ประยุทธ์ไปเร็วๆ อาจไม่บรรลุผล?

—————