ในประเทศ/เหตุเกิดที่ลอนดอน เมื่อ “บิ๊กป้อม” เหินฟ้า “แม้ว-ปู” ยินดีต้อนรับ ซูเปอร์ “มโน” ปรองดอง?

ในประเทศ

เหตุเกิดที่ลอนดอน เมื่อ “บิ๊กป้อม” เหินฟ้า

“แม้ว-ปู” ยินดีต้อนรับ ซูเปอร์ “มโน” ปรองดอง?

“ไม่มีเลย ไปคนละเวลา ไม่เจอกัน อีกคนไปเวลาหนึ่ง อีกคนกลับเวลาหนึ่ง ผมกลับถึงไทยเวลากลางวัน แต่เขามากลางคืน และใช้คนละสนามบินกัน จะไปเจอกันได้อย่างไร คนก็พูดไป”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวตอบนักข่าวที่พยายามซักถามถึงการเดินทางไปเยือนอังกฤษ ระหว่างวันที่ 12-15 กันยายนที่ผ่านมา

ในช่วงเวลาเดียวกับที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็อยู่ที่อังกฤษเช่นกัน

โดยมีภาพในไอจีของ “เอม” พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนโต ที่พา นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีพร้อมลูกสาวฝาแฝด “เอมิ-นานิ” บินไปเยี่ยม “คุณตา” ถ่ายภาพร่วมกันโดยมีฉากหลังเป็นห้างแฮร์รอดส์ใจกลางกรุงลอนดอน เป็นหลักฐานยืนยัน

กระแส “มโน” ถึงการนัดพบกันระหว่าง “พี่ใหญ่” แห่ง คสช. กับอดีตนายกฯ “คนแดนไกล” นั้น

มีการตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังไม่ทันขึ้นเครื่องเดินทางออกจากประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุที่ผ่านมารับรู้กันทั่วไปว่า นายทักษิณ ชินวัตร หลังจากโดนปฏิวัติโค่นอำนาจเมื่อปี 2549 จนต้องเดินทางไปพำนักยาวในต่างประเทศ ก็ได้ไปซื้อบ้านพักไว้ 1 หลังในกรุงลอนดอน นอกเหนือจากที่สิงคโปร์ ฮ่องกง และดูไบ

อีกทั้งตัวของนายทักษิณเอง ก็ได้มาพักผ่อนหย่อนใจที่บ้านพักกรุงลอนดอนบ่อยครั้ง ตามที่เอม-พินทองทา และอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวทั้งสองโพสต์ภาพครอบครัวอบอุ่นลงในไอจี ให้คนที่ฟอลโลว์ได้เห็นเป็นระยะ

ประกอบกับมีรายงานข่าวด้วยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ออกเดินทางโดยเครื่องบินไปกรุงลอนดอน เป็นการส่วนตัวตั้งแต่คืนวันที่ 11 กันยายน ก่อนคณะของปลัดกระทรวงกลาโหม จะบินตามไปสมทบในช่วงสายวันที่ 12 กันยายน

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความประจวบเหมาะทั้งในเรื่อง “เวลา” และ “สถานที่” จะชักนำให้ใครต่อใครหลายคนเกิด “มโน” ไปไกลว่าอาจมีการนัดพบปะเจรจากันอย่างลับๆ

ระหว่างผู้มากบารมี 2 ขั้วการเมือง

นอกเหนือจากเรื่องของเวลาและสถานที่ ซึ่งชวนให้น่าสงสัย

สถานการณ์บางอย่างเกี่ยวกับการเมืองในไทย ยังเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้เรื่อง “มโน” มีน้ำหนักน่าเชื่อมากขึ้น นั่นก็คือการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร

เพราะจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนเต็ม ที่อดีตนายกฯ หญิง ไม่มาฟังคำตัดสินศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีรับจำนำข้าว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

มีเพียงรายงานข่าวแพร่สะพัดว่า “ยิ่งลักษณ์” เดินทางออกไปต่างประเทศ ผ่านเขตแดนกัมพูชา ขึ้นเครื่องไปสิงคโปร์ ต่อไปยังนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

โดยมีปลายทางเตรียมขอลี้ภัยในอังกฤษ หนึ่งในแหล่งพำนักของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้เป็นพี่ชาย ดินแดนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพิ่งเดินทางไปเยือนมาสดๆ ร้อนๆ

การหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ในเบื้องต้นจะสร้างความปลอดโปร่งโล่งใจให้กับรัฐบาล คสช. แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ

เนื่องจากหลังจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อหลายฝ่ายฉุกคิดได้ ก็เริ่มตั้งข้อสงสัยว่าที่ผ่านมา 3 ปีกว่า นับตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 รวมถึงช่วงขึ้นศาลต่อสู้คดีจำนำข้าว

ความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แทบจะอยู่ในสายตาของ “ผู้มีอำนาจ” ทุกฝีก้าว ชนิดที่เข้าห้องสุขาก็ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารประกบตามถ่ายรูป แต่พอถึงช่วงชี้เป็นชี้ตาย กลับปล่อยให้จำเลยล่องหนไปดื้อๆ

นับจากนั้นเป็นต้นมา ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล ภายใต้การกำกับควบคุมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เริ่มถูกการเมืองฝ่ายตรงข้าม “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” โจมตีว่า อาจมีส่วนให้ความช่วยเหลือด้านเส้นทางการหลบหนี

เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ทางการเมืองบางอย่าง ตามที่ได้เจรจาตกลงกับ “คนแดนไกล” ไว้แล้วก่อนหน้า เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ถ้าไม่มีสัญญาณไฟเขียวจากผู้มีอำนาจแล้ว

ก็ยากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเล็ดลอดไปไหนได้

ขณะที่การติดตามไล่ล่าตัวอดีตนายกฯ หญิง

ไม่ว่ากระทำโดยฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ต่างก็ถูกฝ่ายเฝ้าระแวง มองว่าเป็นแค่พิธีกรรมตามสูตร

กรณีตรวจสอบพบกล้องวงจรปิดจับภาพรถยนต์ลึกลับ ขณะขับผ่านด่านอรัญประเทศ จ.สะแก้ว เขตเชื่อมต่อประเทศกัมพูชา ที่ตอนแรกดูเหมือนเป็นหลักฐานความคืบหน้าสำคัญ ทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐบาล คสช. ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการหายตัวไปของจำเลยคดีสำคัญ

แต่ทุกอย่างเหมือนหยุดอยู่แค่นั้น

ไม่มีใครหรือแม้แต่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก และเลขาธิการ คสช. ที่กล้ายืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งอยู่ในรถคันดังกล่าวหรือไม่

ในช่วงนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่า ตนเองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นกับการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่อย่างใดทั้งสิ้น

“ผมไม่รู้จักท่านเลย ไม่เคยพูดจา ไม่เคยได้คุย ผมโดนตลอด” และยังว่า “กับนายทักษิณ ผมก็ไม่ได้สนิท”

อย่างไรก็ตาม คำปฏิเสธของ “พี่ใหญ่” แห่ง คสช. ก็ไม่ได้ช่วยให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ “ดีลลับ” ลดดีกรีลง จวบกระทั่งมีคิวต้องเดินทางไปเยือนอังกฤษ

ยิ่งเหมือนตอกย้ำ “มโน” คนบางกลุ่มให้จมลึกลงไป

ไม่ใช่แค่ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เท่านั้น ที่ยืนยันภารกิจร่วมคณะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปเยือนอังกฤษ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไปพบ นายทักษิณ ชินวัตร และไม่เกี่ยวกับเรื่องการลี้ภัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ซึ่งร่วมคณะไปด้วย แถลงยืนยัน การเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรของรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เป็นภารกิจเรื่องงานล้วนๆ

ตามโปรแกรมเข้าพบหารือกับ เซอร์ ไมเคิล ฟอลคอน รมว.กลาโหม สหราชอาณาจักร และ นายมาร์ก ฟีลด์ รมช.ต่างประเทศด้านเอเชียและแปซิฟิก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ รวมถึงขยายความร่วมมือด้านการทหารและการป้องกันประเทศระหว่างกัน

“ถามว่าจะไปเจอคุณทักษิณทำไม เพื่ออะไร อย่าไปคิด อย่าไปมโนกันเอง อยู่อังกฤษเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องเจอกัน ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องไปเจอกัน แล้วการไปครั้งนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการลี้ภัยของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หรือดีลอะไรทั้งสิ้น ไปตามกำหนดการที่วางไว้เดิมตามตารางงานของกลาโหม กำหนดการก็แน่น ไม่มีไปไหนนอกตารางงาน ผมไปด้วยทุกที่ ยืนยันได้” โฆษกกลาโหม ระบุ

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์ยืนยันแข็งขันอีกครั้ง หลังเดินทางจากอังกฤษกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 กันยายน และไปร่วมประชุม ครม.สัญจรพระนครศรีอยุธยา วันที่ 19 กันยายน

“ไม่มีเลย ไปคนละเวลา ไม่เจอกัน อีกคนไปเวลาหนึ่ง อีกคนกลับเวลาหนึ่ง ผมกลับถึงไทยเวลากลางวัน แต่เขามากลางคืน และใช้คนละสนามบินกัน จะไปเจอกันได้อย่างไร คนก็พูดไป”

ถอดรหัสจากคำพูดดังกล่าว

ด้านหนึ่งคือการยืนยันว่าการเดินทางไปเยือนกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษครั้งนี้ ไม่มีการพบปะกับ นายทักษิณ ชินวัตร เหมือนอย่างที่หลายคน “ซูเปอร์มโน” กันไว้

แต่อีกด้านหนึ่งก็ “ซูเปอร์มโน” ได้เช่นกันว่า ทุกความเคลื่อนไหวของ “คนแดนไกล” ไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศใด ช่วงเวลาไหน กลางวันหรือกลางคืน กระทั่งใช้สนามบินอะไร

ล้วนอยู่ในความรับรู้ของ “พี่ใหญ่” แห่ง คสช. ทั้งสิ้น