พระบิดา กับดราม่าลัทธิประหลาด บทบาทศาสนาพุทธในไทยหายไปไหน ทำไมไม่แก้ปัญหา?/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

พระบิดา กับดราม่าลัทธิประหลาด

บทบาทศาสนาพุทธในไทยหายไปไหน

ทำไมไม่แก้ปัญหา?

 

ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มองปรากฏการณ์ในสังคมไทยในเรื่องความเชื่อ ศาสนา ลัทธิต่างๆ ว่า หากพิจารณาสังคมปัจจุบันเป็นยุคเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ และความเป็นโลกสมัยใหม่จนไม่น่าจะมีอะไรที่ประหลาดที่เกิดขึ้นแบบเหตุการณ์ลัทธิประหลาด “พระบิดา” ที่ปรากฏเป็นข่าวดังใน จ.ชัยภูมิ ที่ให้ประชาชนกินสิ่งสกปรกโดยอ้างว่าแก้โรค

นักวิชาการด้านศาสนา มองว่าที่เราคิดว่าสังคมไทยมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้วคิดว่าความก้าวหน้าทางความคิดจะพัฒนาไปด้วย มันอาจจะไม่ใช่ เพราะสังคมไทยในภาพรวมยังไม่ได้มีความก้าวหน้าทางความคิดเท่าไหร่

ดังจะสังเกตได้ว่า อาจจะมีคนจำนวนหนึ่ง เช่น คนยุคใหม่ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องศาสนา ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องที่ดูเหมือนกับมีความงมงายไร้สาระ แต่เราก็จะเห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีความเชื่อในทางงมงายปรากฏอยู่เสมอ เช่น การไปขอพรจากพระตรีมูรติ หรือพระศิวะ ที่เซ็นทรัลเวิลด์

ถ้าเราเทียบเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์นี้ระหว่างคนหนุ่มสาวจำนวนมากเป็นโสดอยากมีคู่และไปไหว้เทพเจ้าฮินดูที่อยู่ใจกลางเมืองกันล้นหลามมากมาย เพื่อขอพรให้ตัวเอง กับกรณีพระบิดาที่เกิดขึ้น เราก็จะเห็นว่ามันสะท้อนว่าสังคมไทยยังมีความเชื่อบางอย่างที่ไม่ไปกันกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี

พอเรามาดูกรณีที่เกิดขึ้น ที่คนมองว่ากรณีพระบิดาเป็นเรื่องงมงาย เราก็จะเห็นว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในชนบท คนชนบทก็อาจจะมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง แต่คนที่อยู่ในเมืองก็จะมีปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้น ในกรณีของพระบิดามันสะท้อนปัญหาเรื่องของความไม่สามารถที่จะเข้าถึงระบบสุขภาพของรัฐที่คนจำนวนหนึ่งพอจะพึ่งได้

หรือมองอีกแง่หนึ่งคือความช่วยเหลือระบบต่างๆ ยังไปไม่ถึงกลุ่มคนชายขอบของสังคมได้ ดังนั้น เมื่อเรามองกรณีนี้ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของชายขอบที่ต้องการมีชีวิต-สุขภาพที่ดี

หากมองมิตินี้ก็จะมีปัญหาคล้ายกับกรณีคนในเมืองกรุงเทพฯ ที่ต้องการมีความปรารถนาจะมีชีวิตที่ดี เลยต้องทำให้เขาแสวงหาอะไรบางอย่างเท่าที่จะสามารถหาได้ เช่น การที่เขาคิดว่าเขาศรัทธาใครสักคนแล้วทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น หากได้นับถือใครสักคน มันก็เหมือนกับคนหนุ่มสาวที่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่ไปบูชาเทพเจ้าต่างศาสนา ใจกลางเมือง

กรณี “พระบิดา” จึงสะท้อนถึงระบบสุขภาพบ้านเราไม่ดีพอ ทำให้ชาวบ้านต้องไปพึ่งคนอื่น เพราะความเชื่อแบบโบราณ การแก้ปัญหาด้านสุขภาพจะมี 2 ส่วนคือ เรื่องของไสยศาสตร์กับการรักษาโรคในสมัยโบราณที่มีทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อขาดที่พึ่งและมองไม่เห็นการรักษา ชาวบ้านจึงต้องไปพึ่งพาทางอื่นๆ ทำให้คนที่ขาดความรู้คิดว่าการที่เขาไปกินของที่ไม่พึงประสงค์มันอาจจะทำให้เขาหายจากโรคได้ ทำให้เขาหลุดพ้น ทำให้เขามีความสุขได้ มันเป็นประเด็นปัญหาอันหนึ่งในเรื่องของความไม่มีความรู้ในเรื่องสุขภาวะที่เพียงพอของคนจำนวนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็สะท้อนว่าในสังคมเรามันมีคนซึ่งกลายเป็นคนที่ไม่สามารถพึ่งพิงรัฐได้

ผมมองว่าในกรณีคนที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิภาพ สวัสดิการจากรัฐได้ก็จะมีทางออกลักษณะแบบนี้เหมือนกันกับคนที่อยู่ในสังคมทุนนิยมแล้วถูกบีบรัดมากๆ จนไม่รู้จะหาทางออกแบบไหน

เลยหาทางออก ในการบูชาเทพเจ้าขอพรในเมือง ถ้ามองในแง่มุมนี้ก็จะคล้ายกัน

เมื่อเรามองบทบาทของศาสนาพุทธในประเทศไทย ผศ.ดร.ชาญณรงค์บอกว่า ถ้ามองจากแง่มุมที่ว่าสังคมไทยเกิดปัญหาเรื่อง “ความงมงาย” “ไสยศาสตร์” พูดในทางการคือเป็นเรื่องของศรัทธาที่ไม่มีปัญญา คือเป็นแนวคำตอบแบบพระสายเถรวาทเขาจะพูดทำนองนี้คือ “ความศรัทธา” ใดๆ ก็ตาม ที่ไร้ปัญญากำกับจะออกมาในลักษณะแบบนี้ พุทธศาสนาชอบบอกว่าตัวเองเป็นศาสนาแห่งปัญญา สถาบันสงฆ์ไทยหรือองค์กรคณะสงฆ์ไทยชอบสื่อสารว่าเขาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่ใช่ความงมงาย

ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าคน-องค์กร-หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ชาวพุทธหรือชาวไทยมีศรัทธาที่มีปัญญากำกับได้นั้น หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่าบทบาทของศาสนาในสังคมไทยมันกลายเป็นว่าไปโดดเด่นในเรื่องของการส่งเสริม “ความงมงาย” แทน ดังผลลัพธ์ที่จะออกมาในรูปแบบของการบูชารูปเคารพหรือวัตถุต่างๆ เช่น การบูชาท้าวเวสสุวรรณในปัจจุบันเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความงมงายเหมือนกัน ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หรือมองจากแง่มุมโดยเอากรอบของพุทธศาสนาแบบเถรวาทไปมองกรณีต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่าพุทธศาสนาเองก็มีส่วนส่งเสริมให้เกิดความงมงาย

หรือถ้าจะพูดให้เป็นกลางๆ กว่านี้ ต้องบอกว่า “ศาสนาพุทธ” เองขาดบทบาทสำคัญในการที่จะจัดที่จัดทางให้กับความเชื่อหรือศรัทธาของผู้คนให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสม จะเห็นได้ว่าบทบาทด้านนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่

ส่วนองค์กรสงฆ์ในบ้านเราพยายามที่จะให้คนทำบุญ แต่เวลาพูดถึงการทำบุญแม้กระทั่งการสั่งสอนให้คนทำบุญก็ยังมีลักษณะของความงมงาย มันไม่ได้ถูกตีความให้เข้ากับโลกยุคสมัยใหม่ว่าการทำบุญมีนัยยะสำคัญต่อชุมชนหรือต่อสังคมอย่างไร แต่มักจะพูดถึงการทำบุญที่ทำให้เกิดพลังบางอย่างที่ช่วยคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยเวลาเจออุปสรรคหรือสถานการณ์ที่ไม่ดีในชีวิต อย่างเช่น การแก้ปัญหาเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ความไม่แน่นอนในชีวิต ก็พยายามที่จะบอกว่าการทำบุญเป็นทางที่จะช่วยให้คนสามารถก้าวข้ามภยันตรายต่างๆ ในชีวิตได้

บทบาทของคณะสงฆ์ไทยเวลานี้ มักจะเทศนาสั่งสอนออกมาในลักษณะแบบนี้ ซึ่งมันก็ทำให้การทำบุญไม่ได้มีลักษณะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ กลับกลายเป็นการทำบุญด้วยเงิน แต่การทำบุญด้วยการรักษาศีลไม่ค่อยมีเท่าไหร่ หรือการทำบุญด้วยการให้ความรู้ ให้ปัญญา หรือการแสวงหาปัญญายิ่งลดน้อยถอยลงไปอีก

ส่วนหลักคําสอนของศาสนาก็ไม่ได้เป็นเรื่องปัญญาที่จะเข้าใจโลกสมัยใหม่ได้ มันก็ทำให้บทบาทที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพทางปัญญาของสังคมไทยหายไป

ถ้ามองในแง่บทบาทคณะสงฆ์ ภาพรวมมักจะออกมาเป็นแบบนี้ ยิ่งกว่านั้นองค์กรทางพุทธศาสนาในประเทศไม่ได้จัดที่จัดทางให้กับศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ในลักษณะเหมาะสม

ยิ่งกรณีที่เราไปวัดที่มีความเจริญรุ่งเรืองด้วยวัตถุสิ่งของต่างๆ วัดชื่อดังต่างๆ ที่มีการก่อสร้างวัตถุทางศาสนาอย่างอลังการ มันมักจะมีเทพเจ้าในศาสนาหรือเทพเจ้าที่อิมพอร์ตมาจากฮินดูหรือมาจากพม่า มีการไหว้ฤๅษี หรือในขณะเดียวกันมีการไหว้ชูชกเลยด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.ชาญณรงค์มองว่าศรัทธาของผู้คนมันถูกแบ่งไปอยู่ตรงจุดอื่นๆ ส่วนนี้เองกลายเป็นว่า จะทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิในทางศาสนาได้น้อยและไม่ได้ผลเลย

เพราะว่าสถาบันสงฆ์อาจจะไม่ได้เข้าใจโลกอย่างดีพอ เมื่อมองจากภายในวัดข้ามไปสู่โลกนอกวัด ตัวเองก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจโลกได้อย่างถ่องแท้ และภาษาที่ตัวเองคุยกับโลก คุยกับชาวบ้าน คุยกับประชาชนก็คุยกันคนละภาษา

ในขณะที่โลกสังคมทั่วไปมันไปไกลมาก แต่ตัวเองยังคุยด้วยภาษาอีกแบบหนึ่ง จึงทำให้คนไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ในความหมายแบบนี้ หรือแม้กระทั่งการที่คณะสงฆ์จะไปมีบทบาทในการทำให้คนตัวเล็ก คนตัวน้อย คนชายขอบที่มีความทุกข์เพราะอะไรก็แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง การที่พุทธศาสนาจะคอยอุ้มชูให้คนเหล่านั้น หรือทำให้คนเหล่านั้นมีทิศทางในการดำรงชีวิตที่ถูกต้องมันยิ่งน้อยลงไปใหญ่

มันก็เลยทำให้เราต้องเจอปรากฏการณ์แบบ “พระบิดา” และจะทำให้เราเจอได้อีกในอนาคตอีกหลายต่อหลายกรณี

ติดตามชมคลิปได้ทาง

https://bit.ly/3PbxbP0