ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
ทายาท ‘มาร์กอส-ดูแตร์เต’
ผงาดครองทำเนียบ ปธน.ตากาล็อก
การนับคะแนนเสียงการเลือกตั้งของฟิลิปปินส์ที่เกือบแล้วเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
ผลเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการชี้ขาดว่า เฟอร์ดินานด์ บองบอง มาร์กอส จูเนียร์ วัย 64 ปี บุตรชายของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้นำเผด็จการฟิลิปปินส์ ตั้งท่ากวาดชัยชนะไปอย่างถล่มทลาย
ด้วยการมีคะแนนเสียงสนับสนุนนำมากกว่า 56 เปอร์เซ็นต์ ที่กว่า 31 ล้านเสียง
ทิ้งห่างนางเลนี โรเบรโด รองประธานาธิบดีซึ่งเป็นคู่แข่งที่มีภาษีใกล้เคียงที่สุดในบรรดาผู้ลงสมัครด้วยกันถึงสองเท่า ในสนามแข่งขันที่ถือเป็นการรีแมตช์กันระหว่างมาร์กอส จูเนียร์ กับโรเบรโด ในศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีครั้งนี้
หลังจากที่ทั้งสองเคยต่อสู้กันมาแล้วในสนามชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อ 6 ปีก่อน ที่มาร์กอส จูเนียร์ เป็นฝ่ายปราชัยให้กับโรเบรโด
แต่มาคราวนี้มาร์กอส จูเนียร์ กำลังสร้างประวัติศาสตร์ของการเป็นผู้สมัครที่ชนะด้วยเสียงข้างมากเด็ดขาดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแดนตากาล็อก
และจะเป็นการหวนคืนสู่อำนาจปกครองของตระกูลการเมืองตระกูลนี้ที่โด่งดังด้วยประวัติอันฉาวโฉ่จากการถูกกล่าวหาว่าทุจริตปล้นชาติเป็นมูลค่ามากถึงหมื่นล้านดอลลาร์ในยุคมาร์กอสผู้พ่อ
ก่อนที่อดีตผู้นำเผด็จการมาร์กอสจะถูกพลังมวลชนปฏิวัติโค่นล้มลงจากอำนาจในปี 1986 จนครอบครัวมาร์กอสต้องลี้ภัยออกนอกประเทศไป
ชัยชนะของมาร์กอส จูเนียร์ ครั้งนี้ส่วนหนึ่งถูกมองว่าเป็นผลมาจากการรณรงค์ให้ข้อมูลที่บิดเบือนและการเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ที่เป็นการฟอกขาวให้ครอบครัวตัวเองพ้นจากข้อกล่าวหาของการเป็นผู้ปกครองที่โหดร้ายและคอร์รัปชั่นในอดีต
โดยใช้โซเซียลมีเดียเป็นเครื่องมือ จนทำให้ชาวฟิลิปปินส์ที่หลงลืมบาดแผลที่เคยได้รับมา
ยอมวางเดิมพันกับทายาทตระกูลมาร์กอสที่คุ้นเคยนี้ด้วยหวังว่าอาจจะนำความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับมาสู่ชาวฟิลิปปินส์ได้
โดยไม่สนเสียงเตือนว่าการหวนคืนสู่อำนาจของตระกูลมาร์กอส อาจจะยิ่งทำให้ปัญหาทุจริตหยั่งรากลึกและทำให้ประชาธิปไตยในประเทศอ่อนแอลงได้
ขณะที่ในสังเวียนชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการสู้ศึกแยกกัน ซารา ดูแตร์เต-คาร์ปิโอ วัย 43 ปี ลูกสาวคนโตที่จะเป็นตัวตายตัวแทนทางการเมืองของประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในเร็ววันนี้ และได้ประกาศจับมือเป็นคู่หูของมาร์กอส จูเนียร์ ในศึกชิงทำเนียบมาลากันครั้งนี้ตั้งแต่ปลายปีก่อนนั้น ยังมีคะแนนนำลิ่วผู้สมัครคู่แข่งที่ใกล้เคียงมากที่สุดถึงกว่า 3 เท่าอีกด้วย
การคว้าชัยชนะของซารา ดูแตร์เต ยังเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าความนิยมของดูแตร์เตผู้พ่อ ยังคงมีอยู่สูง แม้เขาจะถูกประณามจากประชาคมโลกในการทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดอย่างรุนแรง ที่ทำให้ผู้ต้องสงสัยพัวพันกับยาเสพติดถูกฆ่าตัดตอนไปเป็นจำนวนมาก จนทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ต้องเปิดการสอบสวนในเรื่องนี้ตามคำร้องที่ได้รับมา
แต่การดำเนินนโยบายในหลายเรื่องตามสไตล์ดูแตร์เตกลับโดนใจชาวฟิลิปปินส์ที่ส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับระบบราชการ การทุจริต และความผิดปกติที่กระทบต่อชีวิตประจำวันของตนเ นั่นทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนดูแตร์เตมองว่า ซารา ดูแตร์เต จะเป็นมือที่รับช่วงต่อมรดกทางการเมืองของดูแตร์เตผู้พ่อได้
ความสำเร็จของซารา ดูแตร์เต ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะยังเป็นหลักประกันว่าตระกูลดูแตร์เตจะยังคงมีบทบาท อิทธิพลทางการเมืองในฟิลิปปินส์ต่อไปอีก 6 ปี
และทำให้ครอบครัวดูแตร์เตติดอยู่ในบัญชีตระกูลนักการเมืองที่ทรงอิทธิพลในแดนตากาล็อกต่อไป
การจับมือกันเดินเข้าไปบริหารอำนาจปกครองในทำเนียบประธานาธิบดีของมาร์กอส จูเนียร์ และซารา ดูแตร์เต ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับคนหลายกลุ่มไม่น้อย
โดยเฉพาะคนฟิลิปปินส์ที่ยังไม่ลืมอดีตอันเจ็บปวดจากยุคปกครองที่กดขี่และเต็มไปด้วยการทุจริตโกงกินบ้านเมืองสมัยมาร์กอสผู้พ่อ
หรือการต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปด้วยน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งได้รับอำนาจอย่างเต็มที่จากรัฐบาลดูแตร์เตในการปราบปรามยาเสพติด
ฟลอเรนซิโอ อาบัด หนึ่งในผู้ประท้วงชาวฟิลิปปินส์หลายล้านคนที่ออกมาแสดงพลังขับไล่มาร์กอสผู้พ่อในตอนนั้นบอกว่า “เราพูดกันในปี 1986 ว่า จะไม่มีอีกแล้ว” ซึ่งเขาหมายถึงผู้นำที่กดขี่ขี้ฉ้ออย่างมาร์กอส
แต่ตอนนี้เขาได้แต่ตั้งคำถามว่าตระกูลมาร์กอสกลับสู่อำนาจได้อย่างไร?!