จะย้อนยุคทมิฬไปถึงไหน/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

จะย้อนยุคทมิฬไปถึงไหน

 

ลองเปรียบเทียบพฤติการณ์ของคนในวัยหนุ่มสาว 2 รายนี้ดู

รายแรก ประพฤติผิดศีลธรรม เลวร้ายถึงขั้นทำความเสื่อมเสียแก่วงการภิกษุสงฆ์ ตอนแรกไม่ยอมรับผิด แต่เมื่อจนมุมก็สารภาพ อ้างว่าสาวมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย จึงเย้ยฟ้าท้าดาวกันบนสันเขื่อน

เสร็จกิจเสพสมกลับมีคนจำนวนหนึ่ง “ชื่นชม” บ้างขอถ่ายรูป บ้างก็จ้างไปออกงานด้วยค่าตัวแสนแพง

“ดีเจแมน” พัฒนพล กุญชร จึงโพสต์สดุดี “อัปรีย์ผิดศีลธรรม แล้วยังมีคนชื่นชมชื่นชอบก็มีประเทศกู นี่มันยุคไหนว่ะ อะไรว่ะ ไอ้สันเขื่อน!!!”

ส่วนรายที่สอง เด็กสาวคนหนึ่งมีปมฝังใจจาก “การเมืองเลว” เกิดอาการคัน มีความอยากที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง จึงเปิดตัวประกาศตนเป็นคนสาธารณะอาสามาทำงานการเมือง

แต่แปลกที่สุด รายหลังนี้กลับทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งมีอาการชักดิ้นชักงอทุรนทุรายคล้ายไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก!

นักเลงการเมืองรุ่นไม้ใกล้ฝั่งบางคนดิ้นพล่านขุดเอาวาทกรรมเก่าๆ ขึ้นโจมตีราวกับว่าเวทีนี้เป็น “เขตหวงห้าม” สำหรับบางตระกูล

 

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเป็นประวัติศาสตร์แห่งการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ด้วยอาวุธปืน

แม้จะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 แต่จนถึงวันนี้ “รัฐประหาร” ก็ยังคงเป็นรสนิยมของคนพวกหนึ่ง

หากแต่ถ้าถูกถามซึ่งๆ หน้า ดังเช่นคำถามที่ อ.สุรพศ ทวีศักดิ์ เคยตั้งคำถามกับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองบางคนว่า “กล้ายืนยันหรือไม่ว่า รัฐประหารคือความชอบธรรม และการดำเนินการเอาผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีความชอบตามระบบนิติรัฐทุกประการ”

อาจถึงกับ “ไปไม่เป็น”!

รัฐประหารเป็นเพียง “วิธี” กำจัดฝ่ายตรงข้ามของกลุ่มผลประโยชน์!

รัฐบุรุษ “ปรีดี พนมยงค์” ตั้งใจจะลงหลักปักฐานประชาธิปไตยให้มั่นคงสถาพร จึงชักชวนให้แก้ไข “รัฐธรรมนูญ 2475” จนรัฐสภาคลอดออกมาเป็น “รัฐธรรมนูญ 2489”

แต่แล้ว “รัฐธรรมนูญ 2489” ที่คิดการณ์ไกลทันสมัยก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ 1 ปีกับ 6 เดือน

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 “ผิน-เผ่า-สฤษดิ์” ยึดอำนาจแล้วฉีกทิ้ง

ในแถลงการณ์ของคณะรัฐประหารอ้างว่า จำใจต้องยึดอำนาจเพื่อกวาดล้างความทุจริตเหลวแหลกขอให้ประชาชนตั้งอยู่ในความสงบ รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วง เช่น ภาวะค่าครองชีพ ปล่อยให้เกิดการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง กอบโกยผลประโยชน์โดยไม่ละอายแก่ใจ

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยก็เข้าสู่ “ยุคทมิฬ” เต็มรูปแบบ!

 

ใน “วันนั้น” มีสภาพเช่นเดียวกับ “วันนี้”

เข้ากันได้กับสำนวนของ “อ๋อม” สกาวใจ พูนสวัสดิ์ ดาราสาวหัวใจทรหด ที่โพสต์ว่า “ผิดเป็นถูก ยุคนี้แหละ”

ภายใต้ระบอบ “ป.-ผิน-เผ่า-สฤษดิ์” วีรบุรุษที่เคยกู้ชาติใน “ขบวนการเสรีไทย” ถูกกวาดล้าง จับกุม อุ้มฆ่า ยิงทิ้งอย่างอุกอาจ ไม่เว้นกระทั่งกลางถนนพหลโยธิน อย่างเช่น การสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรี ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ จำลอง ดาวเรือง ถวิล อุดล และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ในเดือนมีนาคม 2492

ในยุคทมิฬ “ระบบยุติธรรม” ย่อมต้องเป็นอัมพาต “อาชญากร” ลอยนวล!!

แต่เมื่อล่วงผ่านไป 12 ปี ใน พ.ศ.2504 คดีถูกพลิกขึ้นมาชำระถึงชั้นศาลฎีกา จนมีคำพิพากษาว่า “ผู้ตายทั้ง 4 เคยเป็นเสรีไทยและเป็นนักการเมืองฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งคนละฝ่ายกับจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ …ตามรูปคดีน่าเชื่อว่าผู้ตายทั้ง 4 ถูกนำตัวไปกำจัดเสียตามความประสงค์ของผู้เมาอำนาจในขณะนั้น ผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตายด้วยน้ำมือของเจ้าพนักงานตำรวจที่ควบคุมตัวผู้ตายไปนั่นเอง”

“ยุคทมิฬ” นักเลงหัวไม้อันธพาลครองเมือง ข่มกดหัวคน ถูกเป็นผิด-ผิดเป็นถูก ปืนเป็นใหญ่ พ.ต.โผน อินทรทัต ยังถูกยิงกลางหน้าผาก พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ตำรวจตงฉินถูกยิงตายคาบ้านพัก เตียง ศิริขันธ์ อารีย์ ลีวีระ กับอีกหลายชีวิต ถึงแม้จะทำคุณแก่ประชาชนและประเทศเพียงใด แต่เมื่อเลือกข้างผิด “วีรชน” ก็ถูกเปลี่ยนป้ายให้เป็น “ทรชน”

วีรบุรุษกลายเป็น “กบฏ” ไร้แผ่นดิน!

 

ทุกสิ่งพลิกผันตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 เป็นต้นมา จวบจนวันนี้ 75 ปี “ประชาธิปไตย” ก็ยังไม่ได้ตั้งมั่น

ยังคงมีคนที่ถวิลหารัฐประหาร ที่ควรจะตั้งคำถาม-ไม่ถาม ที่ควรตำหนิกลับส่งเสริมระริกยินดี ที่ควรแอนตี้ขัดขวาง กลับ “สนับสนุน” จึงเกิดพฤติการณ์ไม่รู้สึกสำนึกผิด ทำนองเดียวกันกับพวกที่เย้ยฟ้าท้าดาวบนสันเขื่อน เช่น บอยคอตเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร สลายการชุมนุมด้วย “กระสุนจริง” ใช้อาวุธสงครามยิงคนมือเปล่า รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมาย “หลายมาตรฐาน”

นี่เห็นเป็นประจักษ์ได้จากคำปาฐกถาพิเศษด้วยน้ำเสียงผิดหวังของ “สุรพล นิติไกรพจน์” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ที่หอประชุมศรีบูรพา มธ.ท่าพระจันทร์ ในตอนหนึ่งว่า “…เราเห็นการบังคับใช้กฎหมายที่อาจไม่ใช่ 2 มาตรฐาน แต่มีหลายมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กับใคร เราเห็นการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นในหมู่ผู้มีอำนาจ ไม่แตกต่างไปจากการทุจริตของนักการเมือง การทุจริตซึ่งเคยเป็นเป้าหมายสำคัญของการรัฐประหารยังคงมีอยู่ ความแตกต่างสำคัญคือ ในอดีตเรามีองค์กรตรวจสอบจับนักการเมืองเข้าคุก แต่ปัจจุบันเรามีกลไกเช่นนั้นสำหรับนักการเมืองหรือผู้มีความคิดตรงข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐเท่านั้น”

ที่ประเทศกูมีจึงเป็นการเมืองทมิฬ

ใครขวางทางแห่งอำนาจ ขัดผลประโยชน์ต้องถูกกำจัด

 

“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับพรรคอนาคตใหม่ถูกหมายหัวทันทีที่ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ซึ่งในที่สุด “ธนาธร” ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรแม้แต่วันเดียว

“พรรคอนาคตใหม่” ถูกยุบ ดาวรุ่งพุ่งแรง “ธนาธร” กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ธนาธรพูดอะไรก็ผิด ถูกดำเนินคดีอาญามากมายหลายกระทง

ต่างกับ “อีลิต” แห่ง คสช.ที่ตีกอล์ฟฟรี มีบ้านหลวง ไฟหลวง น้ำหลวงใช้ มรดกพ่อ นาฬิกาเพื่อน ทำอะไรก็ไม่เคยผิด!?!!