บางอย่างในความรักของเรา (9) : เรื่องราวของปิ่น (1) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

Anton Pavlovich Chekhov /Osip (Joseph) Emmanuilovich Braz, 1898 /State Tretyakov gallery, Moscow

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (9)

เรื่องราวของปิ่น (1)

 

เขาหายหน้าไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว มีคนบอกว่าได้พบเห็นเขามานั่งรอฉันในเย็นวันหนึ่ง เย็นวันนั้นฉันเดินออกจากมหาวิทยาลัยไปรอรถโดยสารประจำทางกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นปี ฉันคิดว่าจะพบเขาที่ป้ายรถโดยสาร แต่ฉันกลับพบกับเพื่อนคนหนึ่งที่นำรถส่วนตัวมา เธอชวนฉันขึ้นรถ ไปส่งฉันที่บ้าน และนับแต่วันนั้น ฉันไม่ได้พบเขาอีกเลย

ในช่วงสองสามวันแรก ฉันยังไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็คิดถึงเขามากขึ้นทุกที ฉันมองหาเขาในห้องบรรยาย ฉันมองหาเขาในโรงอาหาร ในห้องสมุด แต่ก็ไร้วี่แววของเขา

ชีวิตมหาวิทยาลัยของฉันที่ไม่มีเขาอ้างว้างจนน่ากลัว และฉันรู้สึกได้ว่าการมีเขาเคียงข้างไม่ใช่เพียงความเคยชิน หากแต่เขามีความหมายกับฉันมากกว่านั้น

ในกลางดึกของคืนวันหนึ่ง หลังการเงียบหายของเขาไปนานนับสัปดาห์ ฉันหยิบสมุดเปล่าเล่มหนึ่งออกจากชั้นหนังสือ เขียนเลขกำกับหน้า เขียนหัวข้อลงบนกระดาษแผ่นแรกของสมุด

หลังจากนั้นฉันก็เริ่มเขียนบันทึกถึงเขา

 

ฉันเริ่มประโยคแรกด้วยการย้อนเวลาไปสู่ชีวิตวัยเรียนของเรา ฉันพบเขาครั้งแรกในวันแนะนำตัวนักเรียนใหม่ เขามาจากโรงเรียนชายล้วนที่อยู่ไกลจนสุดขอบกรุงเทพฯ ในขณะที่ฉันมาจากโรงเรียนคาทอลิกหญิงล้วนกลางเมืองหลวง

เราทั้งคู่กำลังเผชิญกับชีวิตนักเรียนแบบสหศึกษาเป็นครั้งแรก เขามีทีท่าประหม่าต่อเพศตรงข้ามอย่างยิ่งไม่ต่างกับฉัน แต่ที่แตกต่างยิ่งขึ้นคือเขามีทีท่าประหม่าต่อชีวิตกลางเมืองเพิ่มขึ้นด้วย

ความประหม่าดังกล่าวของเขาดึงดูดฉันและทำให้ฉันและเขากลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด

ฉันพบว่าฉันและเขามีรสนิยมและอุปนิสัยคล้ายคลึงกันหลายอย่าง

เราทั้งคู่ไม่ชอบกีฬากลางแจ้ง เราทั้งคู่ไม่ชอบบทสนทนาที่ยืดเยื้อไร้สาระ เราทั้งคู่ไม่ชอบตกอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก เราทั้งคู่ชอบใช้เวลาอยู่กับตนเอง

เขาชอบนั่งลงขีดและเขียนอะไรบางอย่างอยู่เสมอ หากไม่วาดรูป เขาก็แต่งเรื่องราวนานาออกมาเป็นตอน

ฉันเคยบอกกับเขาว่า เขานั้นเหมาะเป็นช่างเขียนรูปหรือจิตรกร หรือไม่ก็เหมาะจะเป็นนักเขียนหรือนักประพันธ์

เขายิ้มรับคำแนะนำนี้ แต่นั่นเองดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจต่อมันจริงจังนัก ก่อนที่ฉันจะพบว่าในที่สุดแล้วเขาก็ใช้ชีวิตตามคำแนะนำของฉันอย่างหมดจิตหมดใจ

 

การชอบขีดและเขียนนั้นทำให้เรามีร้านค้าประจำสองร้านที่พวกเรามักแวะเวียนไปเสมอหลังเลิกเรียน โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ชิดกับศูนย์กลางของห้างสรรพสินค้า สถานบรรเทิงเริงรมย์ โรงภาพยนตร์ ภัตตาคาร ร้านอาหารว่าง ร้านกาแฟและร้านอื่นๆ อีก

ทว่า ร้านค้าสองร้านที่เราเข้าไปใช้บริการบ่อยครั้งคือร้านขายเครื่องเขียนและร้านหนังสือ

ร้านขายเครื่องเขียนนั้นตั้งอยู่ข้างร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเก่าแก่ พวกเราจะถือเป็นดังพิธีกรรมที่จะกินก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามหลังโรงเรียนเลิกและตรงเข้าไปเลือกซื้อสมุดและปากกา หรือไม่ก็กระดาษวาดเขียน บางครั้งเขาก็ซื้อสีน้ำ บางครั้งเขาก็ซื้อสีโปสเตอร์ บางครั้งเขาก็ซื้อสีเทียน บางครั้งเขาก็ซื้อกระดาษร้อยปอนด์ บางครั้งเขาก็ซื้อกระดาษหนังไก่ และบางครั้งเขาก็ซื้อกระดาษปรู๊ฟ เขาชอบให้มือของเขามีบางอย่างที่ถูกถืออยู่เสมอ เขาบอกกับฉันเช่นนั้น

แต่สิ่งของที่เขาถือนั้นเองก็เป็นสิ่งของที่เกะกะอย่างยิ่งเมื่อเราเข้าร้านถัดมาอันได้แก่ร้านหนังสือ

มีร้านหนังสือสองถึงสามร้านในบริเวณนั้น ร้านหนึ่งนั้นขายเฉพาะหนังสือการ์ตูนเล่มเล็กที่จะถูกวางอัดแน่นอยู่บนชั้น สันหนังสือการ์ตูนจะอวดภาพเนื้อหาแบบคร่าวๆ ให้เราลิ้มลอง อาจเป็นการ์ตูนแนวผจญภัย อาจเป็นการ์ตูนแนวรักสนุกสนาน อาจเป็นการ์ตูนสยองขวัญ

พวกเราจะซื้อหนังสือการ์ตูนในวันศุกร์ โดยพวกเราจะเข้าร้านหนังสือการ์ตูนในวันศุกร์ เลือกหัวเรื่องที่เราอยากอ่านและหอบมันกลับบ้านในวันนั้น

แต่วันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เราจะเข้าร้านหนังสืออีกร้านหนึ่งที่มีชื่อย่อเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า DK ในตอนแรกก่อนการเข้าร้านนั้น เขาบอกฉันว่าร้านอาจมีชื่อว่าดอกแก้วซึ่งเขาคาดเดาผิด เรารู้ในภายหลังว่าชื่อร้านนั้นคือดวงกมล

และเราก็ใช้ชีวิตของเราทั้งคู่อยู่ในร้านหนังสือนี้นานกว่าที่ใดๆ ในเวลานั้น

ร้านหนังสือดวงกมลเป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่อย่างยิ่งสำหรับเรา คำว่ามีขนาดใหญ่อย่างยิ่งสำหรับเราคือการที่เราทั้งคู่สามารถเดินหลงอยู่ในนั้นได้นานนับชั่วโมงโดยไม่เบื่อหน่าย

ประตูทางเข้าเป็นประตูกระจกบานเล็ก แต่เมื่อคุณเข้ามาภายใน กลิ่นหนังสือจะตรงเข้าโอบล้อมคุณ ชั้นแรกของร้านเต็มไปด้วยหนังสือด้านวรรณกรรม หนังสือนวนิยายแปล หนังสือวรรณกรรมเยาวชนในภาษาไทย

ตรงชั้นลอยเป็นหนังสือคู่มือวิชาเรียนต่างๆ ในขณะที่ชั้นถัดไปเป็นหนังสือวรรณกรรมและหนังสือวิชาการในภาษาอังกฤษ

เราจะอ้อยอิ่งอยู่กับหนังสือภาษาไทยตรงชั้นแรกนานนับชั่วโมง ฉันผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์จะหยิบหนังสือความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอมของจิตร ภูมิศักดิ์ ขึ้นพลิกอ่านอย่างกระหาย

อันที่จริงฉันจะซื้อหนังสือเล่มนี้กลับบ้านก็ย่อมได้ แต่ฉันรู้สึกว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบเร็วเกินไป

ฉันต้องการซึมซับอัจฉริยภาพของผู้เขียน ฉันต้องการไล่เรียงความคิดไปตามการวิเคราะห์อันชาญฉลาดของเขา

จิตร ช่างเป็นคนที่มาถึงโลกนี้ก่อนกาลเวลาจริงๆ ฉันพูดกับตัวเองและหลังจากที่ฉันพลิกอ่านหนังสือไปได้ราวครึ่งชั่วโมง เขาก็จะมายืนเคียงข้างฉันพร้อมกับพูดว่า “หากวิญญาณของจิตรยังอยู่ เขาคงภูมิใจในตัวเธอมากแน่ๆ”

ฉันจะยิ้มรับคำกล่าวเช่นนั้นแม้รู้ว่ามันจะแฝงความประชดประชันอยู่บ้างก็ตาม แต่ฉันก็มีความปรารถนาที่จะให้จิตรภูมิใจในตัวฉันจริงๆ

ที่ฉันยืนอ่านหนังสือเล่มนี้ส่วนหนึ่งเพราะฉันต้องการให้คนที่ผ่านเข้ามาในร้านหนังสือเห็นฉันเอาใจใส่กับหนังสือเล่มนี้มากเพียงใด

และฉันหวังว่าไม่มากก็น้อยมันจะดึงดูดใจให้ใครบางคนหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นอ่านด้วยเช่นกัน

Anton Pavlovich Chekhov /Osip (Joseph) Emmanuilovich Braz, 1898 /State Tretyakov gallery, Moscow

ในขณะที่ฉันชอบใช้เวลากับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งอย่างเนิ่นนาน เขากลับมีความสามารถและพึงใจที่จะทำตัวไม่ต่างจากผึ้งหรือผีเสื้อที่ตรงเข้าดอมดมดอกไม้ต่างๆ อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น

เมื่อพาตัวเข้ามาในร้านได้แล้ว เขาจะหยิบวรรณกรรมแปลขึ้นใส่มือเป็นอันดับแรก เขาชื่นชอบนักเขียนรัสเซียเป็นพิเศษ โดยเฉพาะนักเขียนรัสเซียที่มีนามว่า อันตัน เชคอฟ

ฉันเห็นเขาอ่านนวนิยายขนาดสั้นของอันตัน เชคอฟ เรื่อง “ตึกคนไข้หมายเลขหก” หลายต่อหลายรอบ

ฉันเห็นเขาจดบางประโยคจากนวนิยายเรื่อง “แคชแทงก้า” ของอันตัน เชคอฟ ลงในสมุด

และฉันเห็นเขาพกรวมเรื่องสั้น “อันเป็นที่รัก” ของอันตัน เชคอฟ ติดตัวในช่วงเวลาหนึ่ง

แน่นอนฉันเห็นเขาอ่านงานของนักเขียนรัสเซียคนอื่นเช่นกัน กอร์กี้ ดอสโตเยฟสกี้ หรือตอลสตอย ล้วนเป็นนักเขียนที่เขามีหนังสือของนักเขียนเหล่านั้นครอบครอง หากแต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาพึงใจที่จะมอบความสนิทสนมกับงานเขียนของอันตัน เชคอฟ มากกว่าใคร

หลังจากได้หนังสือวรรณกรรมแปลไว้ในมือหนึ่งเล่ม เขาจะออกค้นหางานเขียนเล่มอื่นที่เป็นงานสารคดีหรืองานประพันธ์ของนักเขียนชาวไทยต่อมา เขาจะหยิบงานของชาติ กอบจิตติ มาลา คำจันทร์ วัฒน์ วรรลยางกูร จำลอง ฝั่งชลจิตร โดยไม่ลังเล

พอๆ กับที่เขาจะถือหนังสืองานเขียนของยาขอบ ส.ธรรมยศ หรือ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ไว้ในมืออย่างมั่นคง

เขาหลงใหลในภาษาของยาขอบ การเปรียบเปรยของ ส.ธรรมยศ และชีวิตอันเริงร่าของรงค์ เขาแทบไม่มีข้อจำกัดในการอ่านภาษาที่เก่าหรือใหม่ ทุกงานเขียนที่เป็นหนังสือจะถูกเขาอ่านอย่างกระหายเทียบเท่ากัน

หลังจากนั้น เขาจะตรงไปที่ชั้นหนังสือคู่มือและตำราเรียน เขาจะเลือกหนังสือฝึกไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกลับบ้าน ทั้งที่เขามีหนังสือประเภทนั้นอยู่มากมาย เขาจะเลือกหนังสือตำราฟิสิกส์ ทั้งคลื่น แสง เสียง กลศาสตร์ และความร้อนกลับบ้านทั้งที่เขามีหนังสือประเภทนั้นอยู่มากมาย วิชาภาษาอังกฤษและวิชาฟิสิกส์คือสองวิชาที่เขาโปรดปราน เขาจะพักการอ่านหนังสืออื่นเมื่อต้องเอาจริงกับมัน

เขาเป็นนักเรียนที่แม้จะไม่ใช่อันดับต้นๆ ของโรงเรียน แต่ฉันก็เชื่อว่าเขาจะเป็นเช่นนั้นได้ถ้าเขาอยากจะเป็น

 

หลังจากที่เขาได้หนังสือเหล่านั้นครบถ้วน เขาจะย่องเงียบๆ มายืนเคียงข้างฉัน

ดังนั้น เมื่อฉันเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นในขณะที่ฉันกำลังหมกมุ่นกับหนังสือ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาวและขอม” ของจิตร ภูมิศักดิ์ ฉันก็จะรู้ดีว่าเขาได้เลือกหนังสือที่ต้องการครบถ้วนแล้ว

ฉันจะซื้อหนังสือหนึ่งเล่มที่ฉันหมายตาไว้ ส่วนเขาจะชำระค่าหนังสือทั้งหมดของเขา

หลังจากนั้นเราจะข้ามถนนไปยังบันไดขนาดใหญ่หน้าห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นป้ายจอดรถโดยสารประจำทางด้วย และเราทั้งคู่จะเริ่มต้นการอ่านหนังสือด้วยกันจนแสงอาทิตย์ลับฟ้า ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นยืนและพูดกับเขาว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว

เราทั้งคู่จะเก็บหนังสือทั้งหมดใส่กระเป๋า รอรถโดยสารคันแรกที่จะผ่านบ้านของฉันและบ้านของเขา

ฉันจะลงจากรถก่อนเขา เมื่อฉันลงรถเรียบร้อยฉันจะโบกมือให้เขา เขาจะยิ้มและโบกมือตอบก่อนที่ฉันจะมุ่งหน้าเดินตรงไปยังบ้านของตน เราทั้งคู่ใช้ชีวิตเช่นนั้นตลอดการศึกษาชั้นมัธยมปลาย

เราทั้งคู่ใช้ชีวิตเช่นนั้นราวกับเป็นพิธีกรรมชีวิตแบบหนึ่ง •