คำ ผกา | สังคมนิทานหลอกเด็ก

คำ ผกา

ทีแรกคิดว่าปรากฏการณ์หมอปลาจะวูบวาบแล้วหายไป

แต่ปรากฏว่า หมอปลาดูจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

มากในระดับที่กลายเป็น “ที่พึ่ง” แห่งความถูกต้องของสังคมไทยไปประมาณหนึ่ง

ภารกิจของหมอปลาเท่าที่ติดตามจะคล้ายๆ องครักษ์พิทักษ์ธรรม พิทักษ์ความถูกต้อง ที่เข้าใจได้ง่ายๆ

หากเราเข้าใจตรงกันว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ปากอย่างใจอย่าง พูดอย่างทำอย่าง แต่เราไม่ค่อยยอมรับว่าเราเป็นแบบนั้น

เช่น เราเป็นคนชอบไปไถ่ชีวิตโค กระบือ ชอบปล่อยปลา ปล่อยหอย (มิไยที่กรมประมงจะออกมาเตือนไม่หยุดไม่หย่อนเรื่องเอเลี่ยนสปีชีส์ การปล่อยสัตว์ลงน้ำโดยสักแต่หวังทำบุญทำทานโดยไม่แคร์เรื่องระบบนิเวศน์ เราก็จะเอาหูทวนลมอยู่ดี) เราเป็นคนไทยที่ชอบไปประกอบพิธีบนบานศาลกล่าว เราคือคนที่ไปทำบุญทุกวัดที่กำลังฮิต กำลังขลังว่าศักดิ์สิทธิ์

เกิดมาเราก็ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกอะไร ศีลห้าก็รู้งูๆ ปลาๆ

แต่ขณะเดียวกันเราก็มีภาพของวัด และพระสงฆ์ในอุดมคติเป็นภาพที่เราอ่านมาจากหนังสือเรียนบ้าง นวนิยายบ้าง ตามที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาบ้างว่า คนที่บวชเป็นพระคือคนที่ละแล้วซึ่งกิจการทางโลก บวชเพื่อสละกิเลส บวชเพื่อศึกษาธรรมะ แล้ววันหนึ่งจะเข้าใกล้นิพพาน

ความจริง หรืออย่างแย่ที่สุด เราก็เห็นว่า พระที่ดีคือพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติที่ดีงาม สำรวม เหมาะสม

หนักกว่านั้น ทั้งๆ ที่เราเองเป็นคนเอาเงินไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ เราก็ยังจะอุตส่าห์เชื่อว่า วัดคือสถานที่ปลอดซึ่งเรื่องเงินๆ ทองๆ พระห้ามจับเงิน ฯลฯ

และเราคนไทยก็ไม่เคยรับได้หรอกที่จะมองว่า วัดสมควรที่จะได้รับการบริหารเหมือนเป็นนิติบุคคล

สําหรับฉัน เราควรให้อิสระแก่พระ และวัดในการบริหารวัดและการเงินของวัด ขออย่างเดียวขอให้รายงานบัญชีให้โปร่งใสเหมือนนิติบุคคลทั่วไป

ฉันคิดว่า มันจะดีกว่ามากที่เรายอมรับว่า วัดและกิจกรรมของวัดอีกทั้งการเผยแผ่ศาสนาเป็นส่วนหนึ่ของกิจทางโลก

ดังนั้น การทำให้วัด “ผุดผ่อง” ตามอุดมคติตามจินตนาการของเรามันเป็นสิ่งที่ตรงกับความเป็นจริงตั้งแต่แรก

แต่เราคนไทยก็ไม่ลด ละ เลิก ที่จะอยากให้โลกใต้ร่มกาสาวพัสตร์ผุดผ่องตาม “มโน” ของเรา มากกว่าที่จะยอมรับหลักการรัฐโลกวิสัย หรือ secular state

เรามีแนวโน้มอยากได้มือปราบมาร อภิบาลคนดีมากกว่า

ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องสนุก บันเทิงมากสำหรับเราที่จะมีคนแบบ “หมอปลา” มาทลายวัดนั้นวัดนี้ จับพระคนนั้นคนนี้สึก หรือแฉพฤติกรรมพระ เณรประพฤติชั่ว เป็นที่เอือมระอาของชาวบ้าน

และหรือล่าสุด ทลายสำนักพระบิดา ให้ศรัทธาชนของตัวเองกินฉี่ กินเสลด อะไรก็ว่าไป

ถามว่าพระเสพเมถุน กินเหล้า ผิดไหม?

ผิด เพราะเราตั้งกฎมาแบบนั้น

แต่ถามว่า เราเคยแก้ปัญหานี้ได้ไหม? ตั้งแต่นิทานขุนช้างขุนแผน ตัวขุนแผนเองก็ลักลอบได้เสียทั้งกับนางสายทอง นางวันทอง ตั้งแต่บวชเณร

แถมขุนแผนเองนั่นแหละคือฮีโร่ของชาวไทยที่ทำทุกอย่างที่คนไทยรังเกียจ ทั้งเลี้ยงกุมารทอง ฆ่าเมียตัวเองทั้งกลม ผ่าเอาลูกออกมาทำเครื่องราง และอีกสารพัดวีรกรรม

ถ้าขุนแผนมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็น่าจะถูกหมอปลาเรียกเจ้าหน้าที่รัฐสนธิกำลังมาปราบเช่นกัน

ฉันกำลังจะบอกว่า ทั้งในนิทาน ทั้งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งในพงศาวดาร บันทึกต่างๆ ในอดีตของไทยก็มีเรื่องฉาวๆ คาวๆ ของวงการพระมาโดยตลอด

แต่ถามว่า เราสามารถแก้ปัญหานี้โดยมีนคนแบบหมอปลาเยอะๆ แล้วช่วยกันปราบพระที่ประพฤติมิชอบไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าวันหนึ่งก็จะเหลือแต่พระดีๆ แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่ฝันของเราจะเป็นจริง พุทธศาสนาของเราจะผุดผ่องเรืองรองสถาพรสืบไป – จริงหรือไม่?

ใครๆ ก็รู้ว่าไม่จริง แต่เราก็ทำใจไม่ได้ที่จะให้ประเทศไทยแยกศาสนาออกจากรัฐโดยสิ้นเชิง

แค่จินตนาการว่า ในสถานที่ราชการห้ามแสดงซึ่งสัญลักษณ์ของศาสนาใดๆ โดยเด็ดขาด เราก็จินตนาการไม่ได้แล้ว

ดังนั้น เราคนไทยจึงรู้สึกว่าการละลายตัวเองไปในโลกที่เหมือนหนังและละคร อันมีการต่อสู้กันของธรรมะกับอธรรม นั้นง่ายกว่า นั่นคือ มีพระชั่ว จากนั้นมีหมอปลามาคอยชี้เบาะแส ส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่รัฐ จากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องมาให้ครบตามขนบหนังไทยคือ ตำรวจ ผู้ว่าฯ หน่วยความมั่นคง สำนักพุทธ มูลนิธิอะไรต่อมิอะไร เอามาให้หมด สนธิกำลังจับกุมตัว

จากนั้นมี “สื่อ” ที่พิทักษ์ความจริง ความถูกต้อง ศีลธรรม จริยธรรม มาทำข่าว ป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า ฝ่ายธรรมะได้ปราบมารสำเร็จไปแล้วอีกหนึ่ง – เย้ๆๆๆ – จบไปอีกหนึ่งตอน โปรดติดตามตอนต่อไป

จากนั้นก็รอดูว่า ผู้ร้ายรายใหม่เป็นใครทำอะไร ฮีโร่ของเราจะใช้วิธีไหนปราบอสูร วนกันไปแบบนี้เหมือนดูหนังเรื่องยอดมนุษย์ไฟฟ้าสมัยเป็นเด็ก ดูได้ทุกอาทิตย์ไม่เคยเบื่อ ฟินตลอดที่ธรรมะชนะอธรรมในที่สุด

ละครพล็อตนี้ก็มีวนไป แค่เปลี่ยนตัวละคร ในอนาคตก็มีหมอปลาคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ จะชื่ออะไรไม่สำคัญ แต่มีหน้าที่ปราบอธรรม

จากนั้นเราทุกคนก็รู้สึกสบายใจว่าคนชั่วไม่ลอยนวล คนทำผิดย่อมได้รับโทษ สักวันหนึ่ง คนไม่ดีก็จะหมดไป

ทั้งนี้ เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า ทำไมหมอปลามีความชอบธรรมอะไรในการเที่ยวไปปราบคนนั้นคนนี้

หรือถ้าเราสมาทานแนวทางอยาก “ชำระ” คณะสงฆ์ไทยให้ผุดผ่องจริงๆ ทำไมเราไม่ใช้กลไกกฎหมาย กลไกมหาเถรสมาคม สำนักพุทธ

ทำไมหน่วยงานราชการต้องทำงานตามก้นหมอปลา

และถ้าหมอปลามีประสิทธิภาพมากกว่า ทำไมสำนักพุทธไม่จ้างหมอปลามาปราบอลัชชีเสียเลย

หรือจริงๆ แล้ว เราไม่ได้อยากแก้ปัญหาหรืออยากออกจากปัญหา เราแค่อยากหลอกตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ว่า ทุกอย่างในสังคมไทย ในประเทศไทยมันดีอยู่แล้ว ที่มันแย่ก็แค่มีคนชั่วอยู่เยอะในทุกวงการ ดังนั้น แค่ปราบคนพาล อภิบาลคนดี ทุกอย่างก็จะโอเค

เหมือนเรื่องการเมืองที่เราคิดว่าถ้าขจัดนักการเมืองชั่ว เหลือแต่คนดีๆ ทำงานทุกอย่างก็จะดี ดังนั้น ถ้ามีใครลุกขึ้นมาอาสาปราบนักการเมืองชั่ว เราก็พร้อมจะเชื่อ และปล่อยให้เขาใช้อำนาจไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่าเขากำลังปราบคนพาล อภิบาลคนดีอยู่

แต่เราไม่คิดว่า การเมืองไม่เกี่ยวกับนักการเมืองดีหรือชั่ว แต่เกี่ยวกับการยึดถือในหลักการประชาธิปไตยเสียงข้างมาก เคารพในการตัดสินใจของเสียงข้างมาก แล้วก็ยักแย่ยักยันถ่วงดุล ตรวจสอบ เปิดโปงกันไปเรื่อยๆ

บางจังหวะก็ได้รัฐบาลที่ดี บางจังหวะก็อาจได้รัฐบาลเหี้ยๆ แต่มันคือการยืนอยู่บนหลักการที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ

เฉกเช่นเดียวกับเรื่องหมอปลาปราบอลัชชี เรายอมรับไม่ได้ว่าปัญหาอลัชชีจะหมดไป เพียงแค่เราบริหารสำนักสงฆ์ของทุกศาสนา ทุกนิกายภายใต้กฎหมายเหมือนที่เราใช้กับบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจ โดยไม่ต้องไปคุมเรื่องวินัย วัตรปฏิบัติ สีสบง จีวร – ปล่อยให้รายละเอียด เป็นที่ตกลงกันเองของแต่ละสำนัก แต่ละนิกาย ใครใคร่นิยมสำนักไหนก็เป็นรสนิยมของประชาชน – รัฐโฟกัสแค่ อะไรที่ผิดกฎหมายก็คือผิด – เรื่องมันก็จะไม่ลึกลับซับซ้อนขนาดนี้

แต่ก็นั่นแหละ การขังตัวเองไว้ในนิทานมันง่ายกว่าการออกไปอยู่กับความจริง และยังไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่ถูกสอนถูกหล่อหลอมมาตลอดชีวิตมันเหลวไหลทั้งเพ