เผ่าทอง ทองเจือ กับ Death Cleaning เพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

เผ่าทอง ทองเจือ

กับ Death Cleaning

เพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง

 

เหตุเพราะรื้อสมบัติพัสถานออกมาขาย แถมยังมีภาพการนอนอยู่บนพื้นในซอกแคบๆ เผ่าทอง ทองเจือ จึงต้องสงสัยว่า ท่าจะตกอับ

แต่จากการได้ไปเห็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สิน ทั้งที่เขาหามาด้วยตัวเอง และที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ที่บ้านย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนหกหลังที่มีอยู่ ก็ยืนยันได้ว่า เรื่อง ‘ท่าจะ’ นั้นเป็นความเข้าใจผิด

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการนอนพื้นเพื่อบรรเทาอาการปวดหลัง เผ่าทองยอมรับว่าที่นำของออกมาขาย เพราะอยากได้เงิน

เล่าด้วยว่า ก่อนหน้านี้เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาเสียชีวิตโดยไม่ทันได้จัดการอะไรต่ออะไรให้คนข้างหลัง ซึ่งพอเทียบกับอีกคนซึ่งจากไปแบบเตรียมการทุกอย่างไว้เสร็จสิ้น ก็ทำให้รู้สึกว่าการดำรงชีวิตอยู่ ควรจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งตอนมีลมหายใจและตอนหมดลมหายใจ

ขณะเดียวกันเมื่อนึกถึงว่าตัวเองก็อายุ 65 ปี “เพราะฉะนั้น ความตายก็เป็นอะไรที่เราอยู่ใกล้” รวมทั้งยังตระหนักถึง “ความไม่จีรังของโลก ของชีวิตมันมีมากขึ้นทุกที” จึงตัดสินใจเตรียมการ

ในส่วนญาติพี่น้อง เผ่าทองบอกไม่เป็นห่วง เพราะทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีฐานะสุขสบาย แต่คนอีกกลุ่มซึ่ง “เขาดีกับเรา อยู่รอบตัวเรา ดูแลเรา คนที่เราฝากผีฝากไข้” อยู่ในสถานะที่คิดว่าควรจะต้องเข้าไปดูแล

“ถามความต้องการของแต่ละคน ว่าฉันมีขันเงิน มีพระพุทธรูป มีชามเบญจรงค์น้ำทอง มีสารพัด จะยกให้เธอตอนตาย เธอเอาไปขาย พวกเขาก็บอกไม่อยากได้ ได้ไปก็ไม่รู้จะขายใคร ขายกี่บาทก็ไม่รู้ จะห้าร้อย ห้าพัน หรือห้าหมื่น ทุกคนปฏิเสธ เลยคิดว่าเราน่าจะเริ่มขาย เปลี่ยนมาเป็นเงินสดแจกเขาน่าจะดีกว่า”

และนั่นก็คือที่มาของ Death Cleaning ไลฟ์ปล่อยของ

 

“ตัดใจเยอะนะ เยอะมากจริงๆ” เผ่าทองเผย

“ของชิ้นนี้เราเคยรักมาก มีความสุขมากกับการได้ใส่แหวนเพชร 5 กะรัตวงนี้ วิบวับๆ ใส่แล้วสวย ดูแล้วรวย แต่ ณ วันที่ตัดสินใจ เรารู้ว่าแหวนวงนี้จะขายได้ 3 ล้าน มันจะได้คอนโดฯ 1 ห้องสำหรับลูกน้องคนหนึ่ง เท่ากับครอบครัวเขาจะมีที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องไปเช่า ถ้าเรามี 2 วง ขายได้ 6 ล้าน เท่ากับเราซื้อ 2 ห้องให้เขาอยู่ห้องหนึ่ง อีกห้องให้เก็บค่าเช่ากิน”

เขายังเล่าอีกว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนบวชที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อนบวชคิดว่าอาจไม่ได้อะไรมากนัก เพราะเป็นการบวชระยะสั้นเพียง 2-3 สัปดาห์ แต่การได้อยู่กับตัวเอง กับความเงียบ ตัดทิ้งทุกเรื่องราวทางโลก ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีความสุข สงบ จึงเกิดความคิด “ไม่อยากสึก”

แต่กระนั้น ความห่วงลูกน้อง ห่วงคนที่ดีกับเขา อยู่รอบตัวเขา ดูแลเขา อย่างที่บอกจึงตัดสินใจสึก พร้อมความคิดที่ว่า “ถ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แล้วยังไม่ตาย ก็อยากจะบวช”

“ตายในผ้าเหลืองน่าจะเป็นความสุขที่ตัวเองปรารถนา”

 

เรื่องความตาย เผ่าทองบอกไม่ได้นึกกลัว เพราะตอนพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อปี พ.ศ.2537 ก็เคยผ่านประสบการณ์หยุดหายใจมาแล้วถึง 2 ครั้ง ระหว่างขั้นตอนการรักษา

“พอพบปั๊บ หมอก็บอกว่า ต้องพนันกันแล้ว ระหว่างชีวิตหนึ่งกับความตาย เวลาของเราเหลืออยู่ 3 เดือน เพราะฉะนั้น โอกาสรอดต้องแข่งกับวินาที ให้คีโมแบบดับเบิลโดสเลยไหม เสี่ยงดู รอดก็รอด ตายก็ตาย เพราะว่าเวลาน้อย”

ด้วยเหตุนี้ขณะที่คนไข้อื่นได้คีโมที่ค่อยๆ หยดลงมาพร้อมกับน้ำเกลือ เขากลับได้ด้วยวิธีฉีดเข้าเส้น ในปริมาณที่เท่ากระบอกฉีดยุงสมัยก่อน และระหว่างเดินยาไปได้ครึ่งกระบอก หัวใจเขาก็หยุดเต้น ก่อนจังหวะจะกลับมาอีกครั้งหลังได้รับการปั๊ม หากก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ

“ระหว่างนั้นผมมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับขนนก เป็นขนนกสีขาวหมุนอยู่ในปล่องเหล็กสีดำ มืดสนิท แล้วก็เย็นฉ่ำ หมุนลงมาเรื่อยๆ แต่ไม่สุดพื้นสักที เงียบ แล้วก็สงบเหลือเกิน”

ตอนนั้นเขาไม่ได้สติอยู่ 7 วัน ทราบภายหลังว่าระหว่างนั้นมีอาการหัวใจหยุดเต้นซ้ำ จนหมอต้องใช้ไฟฟ้าชอร์ตเพื่อเรียกคืน “แต่เรารู้สึกเหมือนเดิม ไม่รู้สึกว่ามีไฟฟ้าช็อตเลย รู้สึกว่าเป็นขนนก หมุนอยู่อย่างเดียว”

นั่นคือความตายที่เขารู้สึก

 

คนที่ถูกคาดการณ์ว่าจะตายเมื่อ 28 ปีก่อนบอกด้วยว่า การยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ สำหรับเขาคือกำไร เป็นโบนัสที่ได้มาเพราะอะไร เขาเองก็ไม่ทราบ

“หมอบอก คนที่เจ็บรุ่นเดียวกับคุณ ตายหมดแล้วนะ เราอยู่เป็นเคส สตั๊ดดี้ ใครเป็นหมอมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรู้จักเผ่าทอง ทองเจือ ทั้งนั้น”

ในวันที่ ‘แก่ได้ใจ’, ‘ชีวิตสบายจะตาย’ และ ‘ไม่ได้อยากได้ใคร่มี’ หากกระนั้นเผ่าทองก็ยังเลือกที่จะทำงาน ทั้งรายการโทรทัศน์ ‘เปิดตำนานกับเผ่าทอง ทองเจือ’, ร้านเผ่าทอง ไพรเวท คอลเล็คชั่น, เป็นที่ปรึกษา ฯลฯ ส่วนหนึ่งเขาบอกว่า เพราะไม่อยากเหงา เลยไม่ชอบอยู่เฉย ขณะเดียวกันยังเห็นข้อดีที่จะมีเงินไปทำบุญมากขึ้น

“เป็นคนเรียบง่ายมาตลอด ไม่ได้ใช้สินค้าแบรนด์เนม ไม่ใช้ชีวิตกินแพง เที่ยวหรู รถยนต์ส่วนตัวก็ไม่มี มีแต่ของบริษัท จะไปไหนก็รถไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์วิน”

ก่อนเป็นมะเร็ง เผ่าทองบอกว่า เขาเป็นคน “วีนมาก”

“ตามใจตัวเองมาก”

“วันที่เป็น และได้รักษาที่โรงพยาบาลสวนดอก เป็นอะไรที่ประเสริฐมาก เพราะโรงพยาบาลสวนดอก เชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลที่มีคนจน คนอะไรต่างๆ เราได้สัมผัสกับคนยากคนจน คนยากไร้เยอะมาก”

บอกด้วยว่าก่อนหน้านั้นเคยได้ยินเรื่องคนจนมาก่อน แต่ไม่รู้จริงๆ ว่า ที่ว่าจน จนแค่ไหน จนอย่างไร กระทั่งได้พบคนที่ออกจากบ้านตั้งแต่ตี 3 เพื่อเดินเท้า 30 กิโลเมตรมาหาหมอ เพราะไม่มีเงินค่ารถ และนั่นก็ส่งผลให้มุมมองหลายอย่างของเขาเปลี่ยนไป

“มันเปลี่ยนวิธีคิดมากเลย” เผ่าทองบอก

“เราคิดถึงใจเขามากกว่าใจเราแล้วตอนนี้”

“จริงๆ การเป็นมะเร็งก็เป็นประโยชน์มากอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เวลาที่ผ่านมา เราสร้างงานได้เยอะมาก ได้สร้างในสิ่งที่คิดว่าเป็นบุญ และทำกรรมก็น้อยลงไปกว่าเดิมมาก”

ถ้าวันนั้นไม่ได้เป็นมะเร็ง วันนี้ชีวิตจะเป็นยังไง?

“โห…น่าจะมหัศจรรย์มากคนหนึ่งในปฐพีเลยล่ะ” คือคำตอบที่เขาให้

 

ถึงตอนนี้เผ่าทองบอกว่า ชีวิตของเขา “ไม่ได้ปรารถนาอะไรแล้วนะฮะ”

“ไม่ได้อยากได้ใคร่มี ไม่อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่อยากได้เหรียญตรา”

เพราะเมื่อผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาจนถึงวันนี้ ก็รู้แล้วว่า

“ทุกอย่างมันเป็นเปลือกหมด”