ย้อนรำลึกช่วงเวลาผจญภัยกับวง “สิบล้อ” ก้าวแรกบนเส้นทางสายดนตรีของ “ฮิวโก้”

ถ้าพูดถึงศิลปินฝีมือดี สร้างชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ แถมมีดีกรีเป็นอดีตพระเอก คงไม่มีใครไม่รู้จักหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาชาติตระกูลสูงส่ง อย่าง “เล็ก” หรือ “ฮิวโก้ – จุลจักร จักรพงษ์”

ก่อนหน้านี้ผลงานการแสดงของ “ฮิวโก้” นั้นโดดเด่นในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะหันหลังให้กับการเป็นนักแสดง มาเป็นศิลปินที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับจากเหล่าแฟนเพลงทั้งไทยและต่างชาติแทน

เส้นทางดนตรีของ “ฮิวโก้” ดำเนินมาถึงปีที่ 17 แล้ว ทั้งๆ ที่เพลงจากสมัยที่เขาทำวงดนตรี “สิบล้อ” ยังติดหูแฟนเพลงเหมือนวันเวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน

มาวันนี้ “ฮิวโก้” กลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีผลงานเพลงสากลเป็นที่ยอมรับในวงกว้างถึง 2 อัลบั้ม ล่าสุด เขากลับมาอีกครั้ง เพื่อตอบสนองคำเรียกร้องของแฟนเพลงชาวไทยตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

นั่นคือการหวนมาออกผลงานเพลงไทยกับอัลบั้มชุด “ดำสนิท”

เราจะมาพูดคุยกับ “ฮิวโก้” ถึงเส้นทางดนตรีที่เขาเลือกเดิน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร? และผ่านอะไรมาบ้าง?

กว่าจะมาเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้

: ชีวิตคนบันเทิงในบทบาทนักแสดงกับนักดนตรีต่างกันยังไง ทำไมเลือกสายดนตรี?

สายดนตรีสำหรับผม ซึ่งอาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน มันกำหนดอะไรได้มากขึ้น ถ้าจะพูดถึงละคร หรือหนัง หรือวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของพิธีกร หรืออะไรก็ตาม เราเป็นพนักงาน เราเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรที่ใหญ่กว่า แล้วมันจะมากำหนดเรื่องเวลาหรือเนื้อหาของเรา

ผมรู้สึกว่าผมเป็นนักร้องที่ดีกว่าการเป็นนักแสดง ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเป็นนักแสดงที่ดีนัก โอกาสที่ได้รับมาน่าจะเกี่ยวกับเรื่องดวง แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่คนไทยนิยมลูกครึ่งมากกว่าพรสวรรค์ที่มี ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบการแสดง แต่ว่าการแสดงละครโทรทัศน์มันใช้เวลาเยอะ

พอมีช่องทางให้ไปทางด้านดนตรีก็ต้องเลือก เพราะถ้าทำทั้ง 2 อย่าง แล้วให้ดีทั้ง 2 อย่างมันเป็นไปไม่ได้ ด้วยความซีเรียสและความใส่ใจ มันก็ต้องเลือกสักอย่าง ก็เลยเลือกสิ่งที่ให้ความสุข แล้วเวลาก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง

: เส้นทางดนตรีเกือบ 17 ปี ตั้งแต่เริ่มออกอัลบั้มกับวง “สิบล้อ” จนมาเป็นศิลปินเดี่ยวในนาม “ฮิวโก้” ในวันนี้เป็นยังไงบ้าง?

เป็นสิ่งที่ให้อะไรกับผมเยอะมาก ในเรื่องของการเดินทาง การได้ไปยืนอยู่บนหลายเวที การแสดงสดก็ยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่ให้ความสุข และให้ชีวิตรู้สึกว่ามีความสมบูรณ์ เพราะว่าโดยรวมผมเป็นคนหม่นๆ อยู่แล้ว แล้วก็คอยจับผิดตัวเองตลอดเวลาในฐานะมนุษย์ว่าเป็นพ่อที่ดีไหม? เป็นสามีที่ดีไหม? เป็นพลเมืองที่ดีไหม?

อันนี้เราก็มีข้อบกพร่องเหมือนมนุษย์ทุกคนเยอะอยู่ แล้วเรารู้ว่าเราคงทำได้ดีกว่านี้ แต่ช่วงเวลาที่ร้องเพลง เรารู้สึกว่าเราอยู่ถูกที่ ทำถูกทุกอย่าง แล้วก็มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็ได้รับความร่วมมือจากคนที่มาชม มันเลยเป็นช่วงเวลาสำคัญมากสำหรับชีวิตผม นอกเหนือจากครอบครัวและเพื่อนๆ มัน (ดนตรี) ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

: ชีวิตสายดนตรีกับวง “สิบล้อ” ตลอด 4 อัลบั้มในช่วง 6 ปี เป็นยังไงบ้าง?

มันมีบางช่วงกับการทำงานกับสิบล้อ มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดเลย โดยเฉพาะการทัวร์ ยิ่งพอได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง เพราะว่าชุดแรกถือว่าได้เสียงตอบรับที่ค้าน แล้วก็ลบซะส่วนใหญ่ พอมาชุดต่อมาก็มีความสะใจเล็กน้อย

แต่เรื่องของเรื่องคือมันสนุกที่ได้ค้นพบประเทศไทยอย่างแท้จริง ได้เล่นทุกจังหวัด ทั้งที่เล็กและใหญ่ แล้วก็ได้เจอคน ได้เดินทางกับเพื่อนในวัยที่ไม่ได้มีภาระหรืออะไรที่ต้องรับผิดชอบมาก เป็นชีวิตที่เข้าใจง่าย ขึ้นรถตู้ เล่นเสร็จไปโรงแรม วันรุ่งขึ้นก็ไปที่ใหม่ ทุกวันไปที่ใหม่ เป็นชีวิตที่สนุกมาก

: “สิบล้อ” เป็นช่วงรุ่งเรืองที่สุดในชีวิต?

ไม่รู้เหมือนกัน มันก็เป็นจังหวะที่ชีวิตมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางที เวลาผ่านไป เราก็จะจัดลำดับความสำคัญไม่เหมือนกัน

ตอนเด็กๆ ก็จะให้ความสำคัญกับเพื่อน กับความสนุกอะไรต่างๆ บางทีก็มีช่วงเวลาที่เป็นช่วงแสวงหา จะให้ความสำคัญกับสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ

แต่ตอนนี้เหมือนอยู่ในช่วงอนุรักษนิยม พยายามจะรักษาสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ รักษาครอบครัว และรักษากลุ่มแฟนเพลง การทำอัลบั้ม “ดำสนิท” กับคอนเสิร์ตล่าสุดนี้ (สิงห์ คอร์ปอเรชั่น พรีเซนต์ ฮิวโก้ ภาษาแม่) มันอยู่ในช่วงพยายามจะมองว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีค่า ซึ่งเราอาจจะไม่เคยใส่ใจหรือพูดถึงโดยตรง

เพราะบางทีตอนเราเป็นหนุ่มๆ เราก็จะตามใจตัวเอง จะเห็นแก่ตัว จะไฟแรง จนไม่ได้คิดว่าเรามาอยู่จุดนี้ได้ยังไง หลักๆ ก็คือแฟนเพลงที่ทำให้มันอยู่ได้ เพราะว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา ถ้าไม่มีเขามันก็ไม่มีการเดินหน้าเลย

: เสียงค้านในช่วงอัลบั้มแรกกับ “สิบล้อ” ออกมาในรูปแบบใด?

ในเบื้องต้นมันคงเป็นความคาดหวังของกลุ่มคนที่เห็นเราในวงการบันเทิง แล้วก็ติดภาพอะไรบางอย่างว่าผมคงต้องเป็นแบบนี้ เป็นคนที่มีนามสกุลเก่าแก่ก็คงต้องทำตัวอย่างนี้ พอเขาเห็นเราเล่นละครดูเกลี้ยงๆ สะอาดๆ เขาก็คงคิดว่าเราเป็นคนอย่างนั้น

พอมันออกมาในนาม “สิบล้อ” ทั้งชื่อวง เนื้อหา วิธีนำเสนอ แล้วก็ตัวตนที่ใส่ลงไป มันคงเป็นเรื่องที่ตกใจกันมากกว่า

สิบล้อออกจะแนวขบถ แล้วชื่อวงก็เหมือนจะอ้างอิงเพื่อชีวิต คนก็คงคิดว่าไม่เหมาะสมหรือเชยอะไรแบบนี้ มันตรงข้ามกับทุกอย่างที่กระแสหลักอยากให้เราเป็น แต่มันก็ดีแล้วที่เกิดขึ้นไปอย่างนั้น เพราะถ้าเราไม่ได้ไปชัดๆ ขนาดนั้น เราก็คงไม่มีวันนี้

บางทีถ้ามันมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น เราต้องทำลายภาพลักษณ์ตรงนั้นที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ช่วงนั้นผมก็จะถูกต่อต้านอย่างแรงมาก จนกระทั่งมีการยอมรับแต่ก็ไม่ทั่วถึง จริงๆ จนกระทั่งไปเมืองนอก การยอมรับมันก็ยังไม่ทั่วถึง

มันมีหลายๆ สื่อ หลายๆ ส่วนของวงการดนตรีที่คงคิดว่าวง “สิบล้อ” เป็นวงที่ไม่สมบูรณ์ แล้วก็เป็นการนำเสนอดาราร้องเพลงแบบงงๆ ทำให้คนไม่เข้าใจว่ามันอยู่ตรงไหน ตกลงมันเพื่อชีวิตรึเปล่า มันร็อกรึเปล่า มันป๊อปรึเปล่าอะไรแบบนี้

เพราะที่มามันประหลาด มันไม่ได้เป็นวงที่ค่ายสร้าง แล้วเอานักดนตรีเก่งๆ หลายๆ คนมาประกอบ มันคือกลุ่มคนที่มาเจอกัน แล้วอยู่ๆ ก็จะทำอะไรที่ตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่คนเขาทำกัน

: คิดถึงช่วงเวลาแบบนั้นบ้างมั้ย?

คิดถึงด้วยรอยยิ้ม แต่โตเกินไปแล้วที่จะให้ชีวิตผมมาขึ้นอยู่กับผู้ชายอีก 4-5 คนที่ไม่ใช่ญาติ การเป็นศิลปินเดี่ยวก็มีข้อเสียตรงที่ว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเรา แต่มันก็ดีตรงที่มันกำหนดทุกอย่างได้เอง โดยไม่ต้องปรึกษาหารือกับใคร

ส่วนวงมันเป็นอะไรที่ดีมากถ้าทำได้ แต่รวมๆ แล้วมันเหมาะสำหรับคนที่อายุน้อยกว่านี้ แล้วไม่มีครอบครัว เพราะว่าตอนนี้วงผมคือครอบครัวที่ต้องแคร์ นักดนตรีที่ผมเล่นด้วย ผมรักและนับถือในฝีมือ แต่ในที่สุดเขาก็เป็นคนที่เราจ้าง เพราะฉะนั้น มันชัดเจนว่าอะไรคืออะไร

พออยู่ในวงเนี่ยมันไม่ชัดเจนเลย เพราะว่าทุกคนก็อยู่ในวง ทุกคนก็มีส่วน คนที่อยู่ในวงดนตรีก็จะรู้ว่ามันจะมีเรื่อง มันคล้ายๆ กับการแต่งงาน มันคล้ายๆ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมาก แล้วก็ต้องเกาะกันไป มันก็จะมีบางเรื่องที่ไม่ชัดเจน

แต่ข้อดีก็คือเป็นองค์กรที่สามารถผลิตทุกอย่าง เดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ ทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ เพราะทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน มันมีความแตกต่างแน่นอน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่า “สายไปแล้ว” ที่ผมจะมาทำวงอีกครั้ง

: เราได้อะไรจากความเป็น “สิบล้อ” บ้าง?

เราได้ประสบการณ์ชั่วโมงบินในเรื่องของอาชีพ เราได้เล่นในสภาพและในที่ที่คนดูไม่เอาด้วย เล่นในร้านที่เจ้าของร้านไม่เข้าใจ เล่นแล้วมีคนเดินออก คนต่อต้าน เล่นในที่ที่เครื่องเสียงแทบจะรับสภาพไม่ไหว พักแล้วก็เดินทางไปในที่ที่ต้องเรียกเลยว่าอันตราย

มันทำให้ช่วงเวลาที่ผมไปอยู่อเมริกาทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายหมด ทั้งๆ ที่เขาคิดว่ามันลำบาก หรือนักดนตรีฝรั่งที่ผมอยู่ด้วยคิดว่าลำบาก เขาไม่เคยรู้จักหรอกว่าความลำบากคืออะไร ลองไปเล่นเธคภาคอีสาน แล้วก็ต่อจากนั้นไปเล่นในบ่อนที่พม่า แล้วก็ต้องไปตีรถลงสมุย อเมริกามันดูศิวิไลซ์ไปเลย

การเดินทางบนถนนในเมืองไทย ถึงแม้ตอนนี้ยังอันตรายอยู่ แต่ตอนนั้นอันตรายกว่า

แม้ขณะนี้ “ฮิวโก้” จะกลายเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับจากกลุ่มแฟนเพลงจำนวนมาก สังเกตได้จากหลายๆ คอนเสิร์ตที่เขาขึ้นแสดงทั้งเล็กและใหญ่ ซึ่งยอดขายบัตรแทบจะหมดเกลี้ยงทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำการโปรโมตหรือประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้อย่างที่มันควรจะเป็น

แต่ใครจะรู้ว่ากว่าเขาจะขึ้นมาเป็นศิลปินชั้นนำของเมืองไทย ด้วยผลงานและภาพลักษณ์ที่ออกมาเพอร์เฟ็กต์ขนาดนี้ เขาก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนศิลปินคนอื่นๆ เช่นกัน

ตอนหน้าเราจะมาติดตามเรื่องราวในเส้นทางดนตรีของเขา หลังจากแยกทางกับวง “สิบล้อ” เพื่อก้าวสู่ความเป็นร็อกสตาร์ของเมืองไทย