ยายบุญผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคนบาป / เรื่องสั้น : นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

เรื่องสั้น

นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

 

ยายบุญผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคนบาป

 

1.

เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ผมยังหาหัวข้อเรียงความที่จะเขียนส่งเพื่อเก็บเป็นคะแนนสอบในวิชาภาษาไทยไม่ได้เลย นึกถึงโจทย์ “มนุษย์กับสัมพันธภาพ” ที่อาจารย์ตั้งไว้ นี่ผมจะเขียนอะไรดี?

พยายามคิดอยู่หลายเรื่อง แต่ยังไม่แล้วใจ หลายครั้งที่ยอมเสียเวลานั่งรถโดยสารไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจ ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ ตลาดน้ำ วัดวาอาราม และอีกหลายต่อหลายที่ แต่กลับไม่สามารถฉวยคว้าความคิดใดไว้ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ยังไม่มีสิ่งใดเข้ามากระทบใจได้มากพอ

จนเมื่อเช้านี่เองตอนเดินไปใส่บาตรกับแม่ เหมือนใกล้แค่ปลายจมูก ผมลืมนึกถึงแกไปได้อย่างไร…

 

2.

ในหมู่บ้านที่ผมอาศัย ทุกๆ ยามเช้าจะมีพระออกรับบิณฑบาต และทุกๆ ยามเช้าอีกเช่นกันที่ต้องพบเห็นยายบุญ หญิงเลยวัยกลางคน ผู้มีแสงเปล่งปลั่งออกมาจากร่างกาย

เมื่อพูดถึงยายบุญ ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักแก (อันที่จริง ยังไม่แก่ขนาดถึงกับต้องเรียกยาย แม่ผมบอกอายุสักห้าสิบต้นๆ เห็นจะได้ แต่คนในหมู่บ้านมักเรียกแกด้วยสรรพนามเช่นนี้) ด้วยท่าทางการเดินที่ค่อยๆ บรรจง ยก ย่าง ก้าว วาง เหมือนอย่างผู้รำงับขณะประกอบวัตรปฏิบัติ สายตาอันแน่วนิ่งอยู่กับภวังค์สมาธิ ในมือถือตะกร้าสำหรับเตรียมไว้ใส่กับข้าว ซึ่งแกต้องออกไปซื้อหน้าปากซอยเพื่อเตรียมใส่บาตร และซื้อหอบหิ้วกลับมาบ้าน

จากซอยสี่สู่ซอยสาม ผ่านร้านค้าของหมู่บ้าน แกเดินอย่างเงียบสงบ, จากซอยสามล่วงถึงซอยสอง สายตามองตรงดุจการธุดงควัตร และจากซอยสองถึงซอยหนึ่ง เมื่อจ่ายเงินค่ากับข้าวแล้วเสร็จ แกจะยืนรอเวลาพระมา ด้วยรอยยิ้มเย็นเยือนสู่ปลายเท้าของตน ก้มหน้าสงบนิ่งดั่งการค้นพบสัจธรรมในชีวิต

ตลอดเส้นทางในหมู่บ้านที่เดินผ่าน แกไม่เคยปริปากพูดกับใคร มีเพียงสายตา และแสงสว่างจากเรือนกาย ที่บ่งบอกว่ามันอิ่มเต็มกับบุญที่ทำแล้ว

เป็นเช่นนี้ทุกยามเช้า

พฤติกรรมเช่นนี้เอง สร้างความประหลาดใจให้กับผม

“แกดูเป็นคนแปลกๆ นะแม่” ครั้งหนึ่งผมเคยพูด แม่ได้แต่หัวเราะ…

 

3.

อย่างที่บอก อุตส่าห์ถ่อไปโน่นมานี่ตั้งไกล สุดท้ายแรงบันดาลใจอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ผมขอใช้ยายบุญนี่แหละเป็นต้นเรื่องในการเขียนเรียงความ คิดหามุมมองการนำเสนอ จับประเด็นหลัก ประเด็นรอง หาความเชื่อมโยงระหว่าง “มนุษย์กับสัมพันธภาพ” ตามโจทย์ ผมว่าจะเขียนให้กระชับอย่างเรื่องสั้น ใส่ปูมหลังเข้าไปให้ดูมีสตอรี่แบบนวนิยาย เพิ่มความรู้สึกนึกคิดเพื่อเสริมมิติทางอารมณ์ให้กับเนื้อหา และตัวละคร แต่ไม่ลืมที่จะสอดแทรกสาระสำคัญตามอย่างสารคดี

เหมือนความกังวลแรกหลุดพ้น ที่เหลือคือการหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวยายบุญ…

ปากคำที่ 1 (แม่)

“อย่างที่รู้ ลุงหวันเพื่อนพ่อเอ็งน่ะ ดูสิ! ทุกวันนี้ต้องหอบที่หลับที่นอนออกมานอนแยกห้องกับเมีย ก็ตั้งแต่ยายบุญไปถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดป่าอะไรนั่น เหมือนจะเพี้ยนๆ ไป แกบอกต้องรักษาศีล 8 ห้ามนอนร่วมเตียงกับผัว ตัดแล้วกับไอ้เรื่องอย่างว่า พูดแล้วก็สงสารตาหวัน”

“ช่วงแรกนี่บ้านช่องไม่อยู่เลยนะ ไปถือศีลที่วัดแต่ละที เป็นอาทิตย์ๆ แต่ก่อนเคยทำกับข้าวกับปลา กวาดถูดูแลบ้าน มาตอนหลังนี่ไม่จับเลย เอาแต่ตระเวนไปทำบุญ วันไหนอยู่บ้านก็เดินจงกลมในสวนพูดคุยกับนกกับกา บ้างก็นั่งสวดมนต์ ผัวทำงานกลับมาเหนื่อยๆ แทนที่จะช่วยจัดการดูแล กลับเอาคำพระมาข่ม ‘ตนต้องหัดเป็นที่พึ่งแห่งตนบ้างซี่’ เดี๋ยวๆ ก็ ‘วัตถุสิ่งของประดามีล้วนก่อให้เกิดกิเลส อย่ายึดมั่นถือมั่นนักเลย’ เดี๋ยวๆ ก็ ‘คนเรากินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน อย่าจับเอารูป รส กลิ่น สี มาปรุงแต่ง ให้อัตตามันหน่วงความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ อันไหนตัดได้ก็ตัดเถอะ’ แกบอกกับผัวอย่างนี้ ลุงหวันเอง ยังเคยมาบ่นให้พ่อเอ็งฟังอยู่บ่อยไป”

“แล้วอีกเรื่องที่แม่ไม่เห็นด้วยเลย จำน้องแตงได้มั้ย เด็กผู้หญิงอายุสักแปด-เก้าขวบมั้ง หลานตัวเองแท้ๆ เคยเลี้ยงมาตั้งแต่พ่อกับแม่มันแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ เมื่อก่อนก็เห็นรักมันอย่างกับอะไรดี จู่ๆ นางอั๋น กะเทยข้างบ้าน คนที่อยู่กับผัวฝรั่งเมืองนอกนั่นไง มาขอเอาไปเลี้ยงเป็นลูก ยายบุญก็ดันให้ไปง่ายๆ ไม่คิดจะถามพ่อกับแม่เด็กมันสักคำ ยังไม่รู้จักกับนางอั๋นมันดีพอเลยด้วยซ้ำ แม่กลัวแต่มันจะเอาไปเป็นขี้ข้านะซี่ หรือยายบุญแกอาจคิดว่าทางโน้นเขารวยก็ไม่รู้ กลับมาบ้านแต่ละทีเห็นเปลี่ยนรถไม่ซ้ำคัน แถมยังหอบหิ้วเอาของเล่นจากเมืองนอกมาฝากเด็กมันอยู่บ่อยๆ”

“ลุงหวันแกก็ปรามๆ อยู่ แต่ยายบุญก็อ้างคำพระอีกตามเคย ‘แกไม่เคยรู้เรื่องพระเวสสันดรบ้างเลยหรือตาหวัน การเสียสละที่ยิ่งใหญ่คือการเสียสละสิ่งอันเป็นที่รัก มนุษย์เราเกิดมาล้วนมาแต่ตัว สมบัติที่หามาได้เป็นของนอกกาย การเสียสละถือเป็นการหลุดพ้นจากบ่วงกรรม จากชาติภูมิ แล้วอีกอย่าง หลานมันไปอยู่ทางโน้นน่ะ มันสบายกว่าอยู่กับเราเยอะ’ แม่เองก็ยังงงกับหลักคิดของบายบุญแกอยู่เลย”

“นี่พ่อเอ็งก็แอบมากระซิบกับแม่ พวกเพื่อนๆ เขาสงสัยกัน ว่าตาหวันจะแอบไปมีเมียน้อย เห็นหมู่นี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ บ้านช่องไม่ค่อยกลับ เอ็งอย่าเที่ยวพูดไปล่ะ”

“เรื่องแสงอะไรนั่นน่ะเหรอ เพิ่งจะมาพักหลังๆ นี่เองมั้ง”

ปากคำที่ 2 (ร้านขายของชำซอย 3)

“วันนี้เอาไร ไม่เห็นหน้าตั้งนาน พ่อกับแม่สบายดี?…”

ลุงเบื๊อกทักทายขึ้นขณะผมกำลังเดินเข้าไปหาแกในช่วงกลางวันที่ลูกค้าบางตา ถือวิสาสะเปิดตู้แช่หยิบน้ำอัดลมมาหนึ่งขวด นั่งดูดไปพลาง พร้อมเริ่มบทสนทนา

“ยายบุญนะหรือ? แต่ก่อนผ่านไปผ่านมายังได้ทักทาย อุดหนุนกันเป็นประจำ เพิ่งจะมาไม่กี่ปีนี้เอง ไม่รู้แกเป็นอะไร หน้าลุงแกยังไม่มองเลย เดินเข้าเดินออกทุกวันแท้ๆ ใครๆ พูดกันทั้งนั้น ว่ายายบุญเปลี่ยนไปตั้งแต่แกเริ่มไปปฏิบัติธรรม ไอ้ช่วงแรกๆ ที่ลุงเห็นแกนุ่งขาวห่มขาวนั่น ยังพอได้พูดคุยกันบ้าง แกบอก ไอ้เหล้าเบียร์น่ะ เลิกๆ ขายไปเถอะ มันเป็นอบายมุข มอมเมาผู้คน เด็กๆ ในหมู่บ้านเราก็เยอะ เห็นผู้ใหญ่ซื้อกินได้ มันจะมองว่าเป็นสิ่งถูกสิ่งควร”

“ไอ้เราก็นึกในใจ ทำไมอยู่ๆ มาพูดแบบนี้ แต่ลุงก็ไม่หือไม่อืออะไร จนปัจจุบันนี่เอง ที่แกไม่พูดกับลุงเลย และเหมือนว่าแกก็เลือกที่จะไม่สุงสิงกับใครด้วย”

ลุงเบื๊อกเดินไปหยิบน้ำปลาให้ลูกค้าคนหนึ่ง คิดเงินเสร็จจึงเล่าต่อ

“มันก็จริงส่วนหนึ่ง อย่างที่ยายบุญบอก แต่เอ็งโตแล้วก็ลองคิดดูเถอะ ไอ้เหล้าเบียร์นี่เขามีมาตั้งกี่ปีกี่ชาติ คนที่เขากินแล้วมีสติก็ออกถมไป ส่วนไอ้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ เรื่องฆ่าเรื่องแกงกัน สาเหตุเพราะสุรา นั่นก็ถูก แต่ลุงว่าไอ้พวกนั้นมันปล่อยให้เหล้ากินมันมากกว่า กินแล้วขาดสติยั้งคิด จริงๆ มันเป็นเรื่องของสันดานคน”

“แล้วเอ็งลองคิดดู ในหมู่บ้านเรา ส่วนมากก็คนวัยทำงานทั้งนั้น บางทีเขากลับถึงบ้านเหนื่อยๆ อาบน้ำประแป้งเสร็จ เปิดทีวีดูไป เปิดเบียร์เย็นๆ สักขวดสองขวดดื่มไป ลุงว่ามันเป็นการผ่อนคลายมากกว่า บางคนมีครอบครัว ได้กินข้าวกินปลาพร้อมหน้า ดีซะอีกไม่ต้องออกไปหากินข้างนอก ของอย่างนี้ ริจะกิน มันต้องกินให้เป็น เอ็งว่ามั้ย”

“แสงจากตัวนะหรือ? เออลุงก็เพิ่งมาสังเกตช่วงหลังนั่นแหละ จะว่าไปมันก็เปล่งรัศมีอย่างผู้มีบุญบารมีอยู่นะ ตอนที่แกเดินไปใส่บาตรทุกๆ เช้า พอผ่านไปทางไหน ดูเหมือนทุกสิ่งรอบๆ ตัว จะหมองลงทันที บางคนบอก หากมองกันให้ละเอียดถี่ถ้วน ขณะแกเดินนี่เท้าจะลอยๆ ไม่ติดพื้นดินเลยหละ แต่ลุงเองก็ยังไม่ทันได้สังเกตถึงขนาดนั้น”

4.

เมื่อวานผมได้ข้อมูลเกี่ยวกับยายบุญพอสมควร ก็จากร้านลุงเบื๊อกนั่นแหละ ว่ากันว่า หากอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปในชุมชน มีสถานที่ซึ่งควรสืบเสาะอยู่ไม่กี่แห่ง ร้านค้า ร้านทำผม ตลาดนัดชุมชน วินมอเตอร์ไซค์ และผมคิดว่าเย็นวันนี้ จะเข้าไปถามไถ่ดูอีกสักแห่งสองแห่ง…

ปากคำที่ 3 (สนามส่วนกลางซอย 2)

พี่เอกำลังบรรจงแตะลูกตะกร้อหยอดใส่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยปลายเท้าอย่างแผ่วเบาอยู่กลางสนาม รอบๆ มีนักตะกร้อทีมอื่นรอเข้าแทน ถัดไปอีกนิด บรรดาเด็กๆ จับกลุ่มกันเล่นเครื่องเล่นที่ทางประธานหมู่บ้านจัดหามาไว้ ผมนั่งรอ กะว่าให้ทีมพี่เอแพ้ออกมาก่อน แล้วค่อยเข้าไปพูดคุย…

“โอ้ย! ถึงอยู่ซอยเดียวกัน แต่ใช่จะรู้จักกันดี ยิ่งเดี๋ยวนี้ บ้านแกนี่โอ้โฮ! ยังกะป่า ต้นไม้ต้นไร่ไม่รู้จักตัดจักเล็ม สงสัยผัวแกไม่อยู่ เขาว่ากันว่าไปทำงานต่างจังหวัดหรือไงนี่แหละ นานๆ จะกลับบ้านที แกคงทำไม่ไหวมั้ง”

“พี่เจอก็แค่ช่วงเช้าตอนที่ออกไปทำงาน ส่วนแกเดินออกไปใส่บาตรพอดี เมื่อก่อนนะเหรอ หากวันไหนออกพร้อมกัน แกยังขอติดรถไปหน้าปากซอยบ้าง แต่หลังๆ นี่ ไม่รู้โกรธอะไรพี่ หน้าตาอย่างกับคนไร้อารมณ์ ชวนติดรถไปด้วยก็เพียงส่ายหน้าอย่างเดียว เป็นอย่างนี้ครั้งสองครั้ง พี่เลยขี้เกียจชวน”

พี่เอ ยกน้ำในกระติกขึ้นดูด ก่อนจะเล่าต่อ…

“เอออีกอย่าง เห็นเด็กๆ คุยกัน เวลามันไปขี่จักรยานเล่นแถวบ้านยายบุญน่ะ มักจะได้ยินเสียงหมาร้องโหยหวนออกมาจากภายในรั้ว เลยชวนกันย่องไปดู มันบอกเห็นยายบุญล่ามหมาไว้ในกรง ตัวนี่ผอมเหลือแต่กระดูก มีวันหนึ่ง เด็กๆ นึกสงสาร แอบโยนไก่ปิ้งเข้าไปให้ ยายบุญมาเห็นเข้าพอดี ด่าเปิง วิ่งไปคนละทิศละทาง”

“ยังสงสัยอยู่ มันจะจริงอย่างพวกเด็กๆ บอกรึเปล่า ก็ไอ้หมาตัวนั้นแกรักของแกอย่างกับอะไรดี แต่พอเด็กมันพูดมา พี่ก็ชักคิดนะ เมื่อก่อนเคยเห็นมันวิ่งเล่นกับเจ้าของในสนาม แต่ตอนนี้หายไปจริงๆ นั่นแหละ”

“เรื่องที่เด็กมันพูดกันนะหรือ? ก็แกเล่นทำตัวแปลกๆ ออกอย่างงั้น พี่ว่าบางทีมันแค่สนุกปากกันไปเองมากกว่า จะเป็นไปได้ยังไง คนชอบทำบุญทำทาน”

จังหวะพอดีกับทีมตะกร้ออีกฝ่ายแพ้ออก พี่เอเลยขอตัว…

ปากคำที่ 4 (ร้านอาหารตามสั่ง (วงเหล้าขาประจำ) ซอย 1)

สายตาห้าคู่บนโต๊ะหินกลม หันมาทางผมทันทีที่ก้าวเดินเข้าไป ในกลุ่ม มีเพียงพี่เบนคนเดียวที่รู้จัก เพราะแกเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยซึ่งแม่ผมใช้บริการเป็นประจำ ส่วนชายหญิงที่เหลือ ก็แค่คุ้นหน้าคุ้นตา ไม่เคยพูดคุยด้วย บนโต๊ะมีเบียร์วางอยู่สามขวด กับแกล้มในจานยังไม่พร่อง ควันยังหอมฉุย แสดงว่าเพิ่งเริ่มตั้งวงได้ไม่นาน ผมบอกวัตถุประสงค์เรื่องการเขียนงานของตน สำหรับการพูดคุย…

“พี่ว่ายายบุญแกเปลี่ยนไปจริงนั่นแหละ เมื่อก่อนยังมาทำผมร้านพี่อยู่บ้าง ก็พูดคุยกันปกตินะ เจอกันตลาดหน้าปากซอยยังได้ทักทาย ไม่รู้พักหลังเป็นอะไร เลิกมาทำผมเลย เจอกันก็แค่ปรายตามอง แล้วพี่รู้สึกนะ ว่าแกมองแบบ… ฉันนี่เหนือกว่าคนอย่างเธอ ศีลฉันสูงกว่าเธอ อะไรประมาณนี้”

“ใช่ๆ พี่เบน หนูยังรู้สึกอย่างนั้นเลย ครั้งนึงกำลังนั่งสังสรรค์อยู่กับพวกยายติ๋ม แกกลับจากตลาด ผ่านมาพอดี ยายติ่มตะโกนเรียกทักทาย แกเพียงปรายหางตามอง เหมือนมุมปากจะยิ้มน้อยๆ อย่างเหยียดๆ ยังไงไม่รู้พี่ และที่ทำให้พวกหนูถึงกับชะงัก ตาพร่ากันไปทั้งวง ก็ไอ้แสงสว่างโพลนจากตัวแกนั่นแหละ สาดมาจนทำให้รู้สึกเลยว่า ในกลุ่มพวกหนูที่นั่งกันอยู่นี่ มันช่างมืดหม่นสิ้นดี”

ผู้หญิงในกลุ่มคนหนึ่งพูดเสริมออกมา ก่อนที่พี่เบนจะเล่าต่อ

“พี่จำได้ ก่อนที่ยายบุญจะเลิกมาทำผมร้านพี่อย่างถาวร แกเคยชวนไปปฏิบัติธรรม พูดถึงหลักปฏิบัติของสำนัก ปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อ ดวงแก้วบริสุทธิ์ การทำสมาธิ อะไรต่ออะไรสารพัด ที่ไหนนะเหรอ? พี่ก็จำไม่ได้แล้ว แกชวนอยู่หลายหนนะ ก็ได้แต่เออๆ ออๆ ไป น้องต้อมคิดดูสิ คนทำมาหากิน จะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งปฏิบัติธรรม เห็นว่าไปที เป็นอาทิตย์ๆ เลย สงสัยป่านนี้ถ้าพี่ไปกับแก คงบรรลุนิพพานไปแล้ว ว่าแต่น้องต้อมเถอะ ดื่มรึเปล่า เอาสักแก้วมั้ย?”

พี่เบนพูด พร้อมๆ กับคนในวงหัวเราะกันครืน ผมถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอบคุณ และขอตัวออกมา…

 

5.

จากแหล่งข้อมูลสามสี่แห่งที่รับรู้ คล้ายความเป็นมาในชีวิตของยายบุญ ยังไม่ลงลึกถึงรายละเอียดพอ ส่วนใหญ่เป็นแค่สัมพันธภาพอย่างผิวเผิน ของคนที่อยู่ร่วมกันในชุมชนเท่านั้น หากผมต้องการรู้อะไรให้มากกว่านี้ คงต้องพุ่งตรงไปที่ต้นตอของเรื่องเลยน่าจะดีกว่า…

การจะต้องเข้าไปเยี่ยมหาใครสักคนที่บ้าน ยามบ่ายน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม นั่นเพราะช่วงเช้าผู้คนส่วนใหญ่อาจมีภาระให้ต้องจัดการ เลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้วนั่นแหละ จึงพอได้พักผ่อนหย่อนคลาย นั่นก็เป็นแค่สมมุติฐานที่ผมคิดเอาเอง

มะม่วงสามฤดูถุงใหญ่ ที่หิ้วมาจากสวนในบ้าน ใช้เป็นข้ออ้างว่าพ่อให้เอามาฝากลุงหวัน ตะโกนเรียกอยู่นอกรั้วสองสามหน ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากด้านใน จริงอย่างที่พี่เอว่า บ้านแกรกอย่างกับป่า ลอบมองเข้าไปในสนาม หญ้าขึ้นมิดแข้ง สิ่งที่บ่งบอกว่ายังมีคนอาศัย คือทางเดินซึ่งถูกแหวกเตียนด้วยร่องรอยการเหยียบย่ำ ลองเรียกอีกครั้ง ยังคงเงียบ นึกถึงเจตนาดี บวกกับความที่เจ้าของบ้านเป็นเพื่อนพ่อ ผมลองใช้มือผลักเบาๆ ที่ประตูรั้ว ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ ถือวิสาสะเดินเข้าไป ใช้เสียงตะโกนเรียกเป็นใบเบิกทาง

“ลุงหวัน! ป้าบุญ! อยู่มั้ยครับ พ่อให้เอามะม่วงมาให้”

เดินใกล้ถึงตัวบ้าน นอกจากความเงียบ ผมคล้ายได้ยินเสียงหมาหวีดครางออกมาอย่างแผ่วเบาจากด้านซ้ายมือ ขยับเข้าใกล้อีกนิด กลิ่นสาบผสมกลิ่นเหม็นชวนคลื่นไส้ของขี้เยี่ยว คละคลุ้งปะทะเข้าอย่างจัง ภายในกรงแคบๆ พื้นที่สักเมตรคูณเมตร หมาพันธุ์ทางผอมแห้งเหลือแต่กระดูก ผิวหนังถูกขี้เลื้อนกัดกินจนไม่เห็นสีขนเดิม นอนหายใจรวยรินอยู่ในนั้น ข้างกันมีจานว่างเปล่าหนึ่งใบ กับเศษอาหารแห้งๆ หกอยู่เกลื่อน ผมนึกถึงที่พวกเด็กๆ เล่าให้พี่เอฟัง

ยังไม่ทันปรับอารมณ์กับสิ่งตรงหน้า ผมต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีน้ำเสียงสงบเย็นเรียกทักมาพร้อมรอยยิ้มอย่างพระอรหันต์ หันไปมองเห็นป้าบุญ ยืนอยู่หัวบันไดบ้าน ใส่ชุดขาวเหมือนผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ผมเย็นวาบเข้าไปถึงก้นบึ้งในจิตใจ นั่นคือลำแสงที่ส่องประกายออกมาจากร่างของแก แสงที่ฉายโชนถึงอภิญญาบารมีอย่างผู้ทรงศีล ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปจากสามัญชนคนอย่างเราๆ มันส่องสว่างออกมาจนทำให้สรรพสิ่งโดยรอบมืดมนอนธการลงทันตา ทั้งหมดมันทำให้ผมหลงลืมวัตถุประสงค์แห่งการมาเยือนไปชั่วครู่

อย่างมิทันรู้ตัว ผมยกมือขึ้นพนมจรดหว่างคิ้ว หลุดคำว่า สาธุ ออกมาจากปากเบาๆ สำนึกบางอย่างกระตุ้นเตือนว่า ได้ล่วงล้ำเข้ามาสู่พื้นที่หวงห้ามของผู้บำเพ็ญศีลภาวนาโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะนี้ในดวงตา คล้ายว่าทำนบน้ำได้หลั่งไหลพรั่งพรูลงสู่สองแก้ม จนสุดรำงับ… •