ธุรกิจพอดีคำ : “คำถามที่ไม่มีคำตอบ”

“แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ”

คำถามติดปากของใครหลายคน

เมื่อได้ยิน “ความคิด” ที่ตัวเองคิดไม่ถึง

รถบินได้

ประตูไปที่ไหนก็ได้

ผ้าคลุมล่องหน

ถ้าคุณเป็นคนทั่วๆ ไป ที่ชอบดู “โดราเอมอน” ตอนเด็กๆ คุณคงจะแอบร้อง “อุทาน” ออกมาว่า

“เฮ้ย มันจะเป็นไปได้จริงๆ หรือ”

แน่นอนว่า อนาคตเป็นเรื่อง “ไม่แน่นอน”

การจะพยากรณ์ว่าอะไรเกิดขึ้นหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

หากแต่ว่า เรื่องเหล่านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับถูกหรือผิด

แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” ต่างหาก

เป็นทัศนคติ วิธีการคิด เวลาเห็น “สิ่งใหม่ๆ” ที่ตัวเองอาจจะไม่ได้เข้าใจเต็มที่

เป็น “ชั่วขณะเวลา” ที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้บริหารทั่วๆ ไป กับ “ผู้นำที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง”

ผมได้มีโอกาสไปพูดคุยงานกับบริษัท “Google” ที่เมืองเมาเทน วิว (Mountain View) ใจกลางซิลิคอน วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

มาดูตัวเลขเกี่ยวกับบริษัทแห่งนี้สักเล็กน้อย

ปัจจุบัน บริษัท “แอลฟาเบ็ต (Alphabet)” ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google นั้น เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ “สอง” ของโลก รองจากแค่บริษัท “แอปเปิ้ล (Apple)” ผู้ให้กำเนิด “iPhone” เท่านั้น

Google มีรายได้ปีละประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือตกประมาณ 3 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณแผ่นดินของบ้านเราเสียอีก

ก่อนที่จะได้พูดคุยกันเรื่อง “งาน” ต่างๆ นานา

ผู้บริหารของ “Google” ได้ “แบ่งปัน” วิธีการทำงานของบริษัท

ทำอย่างไรจึงจะสร้าง “นวัตกรรม” ได้มากมายอย่างที่ Google ทำอยู่

เรื่องแรก “ลูกค้าคือพระเจ้า (spoil the user)”

ใครที่ใช้ Google Search บ่อยๆ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เวลาเราค้นหาร้านอาหารมั้ย

เมื่อก่อน จำได้มั้ยว่า เวลากด “Search” ทีไร หน้าถัดไปก็จะแสดงผลร้านอาหารให้เราเห็นในจอด้านซ้าย

แล้วจำได้มั้ย อะไรอยู่ที่ด้านขวา

…………

“โฆษณา” ไงล่ะ

แหล่งเงินชั้นดีของ Google เขาเลย

แต่ถ้าวันนี้ลองกด “Search” ร้านอาหารสักแห่งดูสักที

แน่นอน จอด้านซ้าย ก็จะมี “เว็บไซต์” ของร้านอาหารแห่งนั้นขึ้นมาให้ “เลือก”

แล้วด้านขวาล่ะ

ไม่ใช่ “โฆษณา” แล้วนะ ลองไปดูกันได้

จอด้านขวา ปัจจุบันจะแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมของร้านอาหารนั้นๆ ทันที

เช่น แผนที่ เวลาเปิด-ปิด เบอร์โทรศัพท์ และอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับ “ผู้ใช้งาน” อย่างเราจริงๆ

ไม่ต้องเสียเวลากดเข้าไปใน “เว็บไซต์” ให้เมื่อยเหมือนแต่ก่อน

Google ยอมที่จะแทนพื้นที่ “โฆษณา” ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท

ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ “ผู้ใช้งาน (User)” ที่ตัวเองไม่ได้เงินสักบาท

แต่ได้ “ความพอใจ” ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

แค่นี้แหละ ที่ “Google” ต้องการ

Google Search ที่พวกเราใช้ค้นหาเรื่องต่างๆ นานา

ในวันแรก ถ้าคิดเรื่อง “เงิน” มากๆ ก็คงไม่ได้เกิด และหน้าตา “เว็บไซต์” ก็คงจะ “อัปลักษณ์” เต็มไปด้วยโฆษณา

เป็นเหมือนกับ Search Engine อื่นๆ ที่พ่ายแพ้ให้กับ Google ที่มีความเรียบง่าย อย่างราบคาบ

ไม่ว่าจะเป็น Bing ของ Microsoft หรือ Yahoo ก็ตามที

เพราะสำหรับ Google แล้ว

“ลูกค้ามาก่อนรายได้เสมอ (Focus on User, Money later)”

สอง “คิดให้ใหญ่ 10 เท่า (10X)”

หรือที่ใครๆ อาจจะเคยได้ยินชื่อว่า “Moonshot Thinking”

เวลาคุณอยากจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ให้กับบริษัทของคุณ

คุณเริ่มต้นจาก “คำถาม” ว่าอะไร

หลายคนอาจจะถามว่า

“มีอะไรที่เป็นไปได้บ้าง”

แล้วค่อยๆ ต่อยอด “ความคิด” กันไป

แต่ว่าวิธีคิดแบบ 10x มักจะถามในสิ่งที่ตรงกันข้าม

“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้บ้าง”

รถขับเองได้ อินเตอร์เน็ตให้กับประชากรทั่วทุกมุมโลก

หรือแม้แต่ ยาอายุวัฒนะ

สิ่งเหล่านี้ “เป็นไปไม่ได้” ในวันนี้ แต่วันข้างหน้า ไม่แน่

Google ทำธุรกิจข้างต้นที่กล่าวไปทั้งหมด จะสำเร็จหรือไม่ คงจะไม่มีใครทราบได้

แต่ได้ “ลงมือทำ” แล้ว และ “ความรู้” ต่างๆ ก็คงจะตามมา

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีเจ้าปัญหา คนดังของสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า

“ถ้าคุณจะคิดทั้งทีแล้ว คิดให้ใหญ่สิ”

(You have to think anyway, why not think big?)

การคิดใหญ่นั้น ไม่ใช่เรื่องของ “ความสามารถ” ว่าจะคิดออก คิดไม่ออก

แต่เป็น “ความกล้า” ที่จะคิด ขบคิด กับ “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในวันนี้”

แล้ว “สร้าง” ให้เกิดขึ้นในอนาคตต่างหาก

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะคิดทั้งที จงเริ่มจากสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้”

“มันจะเป็นไปได้หรือ”

คำถามที่ดูเหมือนจะเป็นเชิง “ปรัชญา” เสียมากกว่า

มักจะทำให้ผู้ถาม ดูดี ดูรอบคอบ

แต่ “คำตอบ” มักจะเป็นเรื่องลึกลับเสมอ ยากจะทำให้ “ผู้ถาม” ถูกใจ

ถ้าตอบว่า “เป็นไปไม่ได้” ก็ไม่ต้องทำ

ถ้าตอบว่า “เป็นไปได้แน่ๆ” มันก็ไม่น่าจะใช่ “ของใหม่” อะไรมากมาย

คำตอบที่เหมาะสมสำหรับ “นวัตกร” ในยุคนี้

อาจจะเป็น “ผมไม่รู้ ลองทำไปก่อนสักหน่อยมั้ย”

ทำๆ ไปก่อน ทำๆ ไปก่อน เดี๋ยวรู้เอง

นี่แหละ “ทัศนคติ” ของนวัตกร

ที่ผู้บริหารไร้วิสัยทัศน์ คงจะยอมรับได้ยาก