ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
เส้นทาง ‘กิมซีกะ’
จาก ‘บุรุษพิสดาร’ ฮวยฮง
ถึง ‘อสุรีพันมือ’
ถึงแม้ที่ลี้คิมฮวงพร่ำเพรียกหาเป็น “ลิ่มซีอิม” แต่ผู้ที่เดินทางมาถึงและช่วยเหลือกลับเป็นชายเครารกครึ้มซึ่งเป็นสารถีนำมันมาจากนอกกำแพงใหญ่
เป้าหมายแรกของมันมิใช่ “กิมซีกะ” หากแต่เป็น “ยากำจัดพิษ”
“ภายในสองชั่วยาม ขอเพียงเสาะพบคนที่ถูกตัดเท้าทั้งสองข้าง สารรูปคล้ายลูกกลมเนื้อผู้หนึ่งข้าพเจ้าอาจยังมีความหวังรอดชีวิต ทั้งนี้ เพราะคนแพร่พิษต้องมียาขจัด”
ชายฉกรรจ์เคราครึ้มแทบทุ่มเทใช้พลังทุกส่วนจนหมดสิ้น
แต่ที่มันเสาะพบกลับเป็น “บุรุษพิสดารใจดำฮวยฮง” ที่มีสภาพเป็นเหมือนเม่นตัวหนึ่ง บนร่างปักเต็มไปด้วยอาวุธลับลักษณะต่างๆ
ทั้งลูกดอกเ เกาทัณฑ์แขนเสื้อ เข็มเงิน มุกห้าหนาม โคกกระสุนพิษ
“มันถูกอาวุธลับ 13 ชนิดซัดใส่ ไม่ว่าชนิดใดล้วนสามารถปลิดชีวิตมัน แต่คนผู้นั้นยืนกรานซัดอาวุธลับ 13 ชนิดค่อยสมอยาก คนบ้าคลั่งอำมหิตเช่นนี้ทั่วทั้งยุทธจักรยากจะมีบุคคลที่สองได้”
“มีเพียงคนเดียว” เป็นคำยืนยันจากลี้ชิ้มฮัว
“นางคือ โชยชิ่วล้อเซาะ (อสุรีพันมือ) สุดท้าย บุรุษพิสดารใจดำ ฮวยฮง ยังคงตายใต้เงื้อมมือของสตรี”
เป้าหมายต่อไปย่อมต้องเป็น อสุรีพันมือ โชยชิ่วล้อเซาะ
ขณะชายฉกรรจ์เคราครึ้มจะแบกร่างลี้ชิ้มฮัวขึ้นวางบนต้นไม้พลันปรากฏหิมะที่เกาะอยู่ร่วงหล่นลงมากระทบต้องร่างของมันเมื่อยกมือปัดโดยไม่ตั้งใจ
พลันพบว่าหิมะที่เกาะตัวนี้กลับผนึกเป็นบุปผาโลหิตหยดหนึ่ง
บนกิ่งไม้แห้งเหี่ยวที่สุมคลุมด้วยหิมะกลับยังมีคนผู้หนึ่ง เป็นคนตายผู้หนึ่ง คนตายซึ่งเปลือยเปล่าผู้หนึ่ง
คนตายกลับเป็นสตรี
ถูกผู้คนจับยัดกับกิ่งง่ามบนต้นไม้ ตลอดทั้งร่างถูกความเย็นคุกคามจนแข็งทื่อ หอกสั้นด้ามหนึ่งปักใส่ทรวงอกอันเต่งตึงตรึงร่างติดกับต้นไม้
นั่นย่อมเป็น “อสุรีพันมือ”
“อสุรีพันมือ โชยชิ่วล้อซัวะ แม้อำมหิต แต่คนผู้นี้หลังจากที่ฆ่านางไฉนยังเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก”
เด่นชัดว่า “เสื้อเกราะใยทอง” ก็พลอยหายตามไปด้วย
ทุกอย่างดำเนินไปตามสัจธรรม “กวางหากปราศจากเขากวางอ่อน เลียงผาหากปราศจากเขา ก็ไม่ตายใต้เงื้อมมือนายพรานแล้ว”
เป็นใครที่ลงมือกับอสุรีพันมืออย่างเหี้ยมโหด
ข้อสังเกต 1 จากการตายของอสุรีพันมือ ความจริงเพียงเพื่อช่วงชิงเสื้อเกราะใยทอง ยังไม่ยอมละทิ้งเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดหนึ่ง คนที่ละโมบถึงเพียงนี้ทั่วทั้งแผ่นดินยากจะมีบุคคลที่สองอีก
“ท่านลองถอนหอกสั้นบนร่างนางออกมาชมดู” เป็นข้อเสนอแนะจากลี้ชิ้มฮัว
ปรากฏว่า หอกสั้นด้ามนี้จัดสร้างด้วยความประณีต บนด้ามยังฝังมรกตชิ้นหนึ่ง บทสรุปจากลี้ชิ้มฮัวและชายฉกรรจ์เคราครึ้มย่อมสอดรับกัน
1 ย่อมเป็น “ซีเอี๋ยวโซย” มันยึดถือเงินทองเป็นเช่นชีวิต
1 หอกสั้นฝังไว้ด้วยมรกต “ผู้ที่ใช้อาวุธอันล้ำค่าเช่นนี้มีไม่มากนัก หรือนี่เป็นทายาทจอมล้างผลาญ “ฮวยฮวยไต้เสี้ยว” (คุณชายสุรุ่ยสุร่าย) พัวเซี่ยวอัน
เท่ากับเป็นการลงมือของคน 2 คน
“คนทั้งสอง 1 รักสมบัติราวกับชีวิต 1 จับจ่ายเงินทองเช่นธุลีดิน เฉกเช่นน้ำกับไฟไม่อาจอยู่ร่วมกัน ไฉนร่วมทางกัน”
การเสาะหาบุคคลทั้งสองไม่น่าจะยาก
“พัวเซี่ยวอันมีชื่อด้านภูมิฐาน ไม่ว่าเครื่องแต่งกาย อาหารการกิน ถิ่นพำนัก พาหนะเดินทาง ทุกประการล้วนพิถีพิถัน ในดินฟ้าอากาศอันเหน็บหนาวเช่นนี้ พัวเซี่ยวอันต้องไม่ยอมขับขี่ม้าฝ่าลมหนาว ยิ่งไม่เดินทางด้วยเท้า”
ไม่นานก็เสาะพบรถใหญ่คันหนึ่งในเทศะอันเร้นลับ
รถใหญ่จอดอยู่หน้าฮวงซุ้ยศิลาหลังใหญ่ ม้าเทียมรถไม่อยู่ ปรากฏชายฉกรรจ์สวมเสื้อนวมขนแกะ 3 คนนอนตายอยู่บนพื้นหิมะ
ภายในรถเอนกายไว้ด้วยชายกลางคนสวมเสื้อขนสัตว์ล้ำค่า
มาตรแม้นมีอายุ 40 เศษ แต่โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา เพียงเห็นวงแหวนมรกตที่มีราคาค่างวดไม่น้อยบนนิ้ว ก็ทราบว่าคนผู้นี้ต้องเป็นทายาทจอมล้างผลาญพัวเซี่ยวอัน
ที่ข้างกายมีซากศพหญิงสาววัยเยาว์ 2 นาง
ข้างป้ายสุสานนอนตายไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง บนศีรษะล้านเลี่ยน คนนอนหงายอยู่บนพื้นหิมะน้ำแข็ง 2 มือกำแนบแน่น คล้ายก่อนตายยังคิดรวบกำสิ่งหนึ่งไว้
คนผู้นี้คือ ซีเอี๋ยวโซย มันไม่สามารถยื่นมือออกจากโลง ทวงถามเงินทองอีกตลอดกาล
“คนผู้หนึ่งประพฤติเสเพล เที่ยวสตรีเล่นพนันอย่างไรล้วนไม่เป็นไร แต่ไม่อาจคบหาสหายผิด ไม่เช่นนั้น แม้ตายยังไม่ทราบว่าเป็นการลงมือของผู้ใด
ท่านดูสีหน้ามันสงบถึงเพียงนี้แสดงว่ากำลังดื่มด่ำกับหญิงงามในอ้อมกอด
ก็ถูกจี้จุดชีวิตตกตายอย่างเลอะเลือนงมงาย ภายในรถมีแต่มันกับซีเอี๋ยวโซย นอกจากซีเอี๋ยวโซยแล้วยังมีผู้ใดสามารถลงมือได้”
คำถามก็คือ ใครฆ่าซีเอี๋ยวโซย
การตั้งคำถาม การเสาะหาคำตอบ อันเป็นกระบวนการถนัดของเซียวลี้ถ้ำฮวยจำเป็นต้องติดตามท่วงท่าอาการของลี้คิมฮวงอย่างเป็นพิเศษ
ไม่ว่ามองในด้าน “ข้อมูล” ไม่ว่ามองในด้าน “บทสรุป”
ซีเอี้ยวเซยถือพัวเซี่ยวอันเป็นบ่อทอง ตักตวงหาประโยชน์มิทราบเท่าใด ครั้งนี้พัวเซี่ยวอันต้องการกิมซีกะ ซีเอี้ยวเซยที่กลอกกลิ้งย่อมมิอาจบอกว่าไม่ได้แน่
แต่กิมซีกะกลับมีอานุภาพโน้มน้าวจิตใจผู้คนให้หลงใหลยิ่ง
ซีเอี้ยวเซยจึงเกิดใจดำอำมหิต พานตัดปัญหาทั้งมวลด้วยฝีมือชั่วร้าย ฟังว่าฝีมือขี้จดของซีเอี้ยวเซยเป็นอันดับ 1 ในดินแดนซัวไซ เคยได้รับยกย่องขึ้นเป็น “เจ๊กจี้ตุยฮุ่น” (ดรรชนีล่าวิญญาณ)
ผู้ฆ่าคนต้องถูกคนฆ่า นี่เป็นหลักความจริงตั้งแต่โบราณมา
ตอนซีเอี้ยวเซยฆ่าคน ไม่แน่ว่าจะมีคนที่ชมชอบเกี่ยวข้องเรื่องไร้สาระยืนดูอยู่บนฮวงซุ้ยนี้ หรืออาจบางทีเมื่อซีเอี้ยวเซยพบเห็นมันแล้วก็คิดฆ่ามันปิดปากด้วย
มิคาด ฆ่าคนไม่สำเร็จ กลับถูกคนฆ่าทิ้งเสียก่อน
พลางเดินไปที่บันไดศิลาหน้าฮวงซุ้ย ตอนนี้จึงพบเห็น ในตัวซีเอี้ยวเซยไม่มีบาดแผลใดๆ มีแต่ที่คอหอยเป็นโพรงเล็กๆ อยู่แห่งเดียวเท่านั้น
โพรงที่แทงด้วยกระบี่ไม่คม
ลี้คิมฮวงฟุบอยู่บนไหล่ชายฉกรรจ์หนวดเคราครึ้ม ทั้งสองนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงระบายลมออกจากปากมาพร้อมกัน
“ที่แท้มันนั่นเอง”
“กระบี่ของฮุยเซี่ยวเอี้ยยังเร็วกว่าสายฟ้าเสียอีก เยี่ยงนี้มิน่าเล่า ซีเอี้ยวเซยจึงมิอาจรับมืออยู่” เป็นบทสรุปจากชายฉกรรจ์หนวดเคราครึ้ม
ลี้คิมฮวงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“ประเสริฐ ประเสริฐ นับว่าประเสริฐอย่างยิ่งจริงๆ กิมซีกะถึงมือมัน นับเป็นของวิเศษได้อยู่กับเจ้าของที่คู่ควร ดูท่าทีบ้วยฮวยเต๋าใกล้จะเคราะห์ร้ายแล้ว”
นับเป็นความโล่งใจหากมองจากมุมของลี้คิมฮวง
เป็นความโล่งใจบนพื้นฐานที่ยังไม่รู้ในเงื่อนงำการเกิดขึ้นของ “โจรดอกเหมย” เป็นความโล่งใจโดยยังไม่เฉลียวถึงกระบวนการล่า “กิมซีกะ”
เป็นความโล่งใจโดยไม่รู้ว่าชะตากรรมของ “อาฮุย” จะเป็นอย่างไร
เป็นความโล่งใจโดยไม่รู้ว่าตนเองจะรอดปลอดพ้นจากพิษไร้สีไร้กลิ่นอันมาพร้อมกับสุราได้อย่างไร
เนื่องจากยังไม่คาดคิดว่าผลสะเทือนจาก “คนชุดเขียว” จะดำเนินไปแบบใด