ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
คนมองหนัง
ระลึกถึง ‘เคนเนธ ซาง’
และ ‘น้ามาลี แซทแอนด์ซัน’
ต่อต้านการกระทำอันคร่ำครึ
หัวเราะหึๆ ให้แบบแผน
ขงจื๊อสร้างเปลือกพอกบนแก่น
ชิงชังผู้แนบแน่นพิธีกรรม
มองโลกเป็นโศกมากกว่าสุข
พลัดพรากสิ่งที่รักหนักทุกข์ช้ำ
ก้ำกึ่งเส้นกลาง ธรรม อธรรม
เพลงขลุ่ยหยกยิ่งตอกย้ำโศกาดูร
เจนจบสรรพศิลปศาสตร์
แสดงออกอย่างเกรี้ยวกราดและเฉียวฉุน
คล้ายๆ ไร้เมตตาและการุณย์
แต่ลึกๆ สนับสนุนผู้ทำดี
เพราะแอนตี้สังคมที่เป็นไป
และเลือกเดินในอีกสายวิถี
ควบคู่การกล่าวขวัญสดุดี
คือติฉินนินทาเป็นภูตร้าย
บทกวี “อึ้งเอี๊ยะซือ : ดาด้า” โดย “อึ้งกิก” (ไม้หนึ่ง ก.กุนที)
มติชนสุดสัปดาห์ 9 พฤษภาคม 2543
“เคนเนธ ซาง” หรือ “เจิง เจียง” นักแสดงอาวุโสวัย 87 ปี ซึ่งเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาจากการสวมบทบาทสมทบเป็นตำรวจ มาเฟีย และจอมยุทธ์ ในจอภาพยนตร์และจอโทรทัศน์ เพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างที่เขาเข้ากักตัวในโรงแรมที่ฮ่องกง ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังเจ้าตัวเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศสิงคโปร์
เคนเนธเกิดที่เซี่ยงไฮ้ ก่อนจะอพยพมาใช้ชีวิตที่ฮ่องกงพร้อมครอบครัวเมื่อเขามีอายุ 15 ปี ในวัยหนุ่ม เขาได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์ เบิร์กลีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่ต่อมา เคนเนธกลับรู้สึกว่าทักษะ-ความรู้ของตนไม่ได้เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมการก่อสร้างหรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฮ่องกงมากนัก เขาจึงหันไปรับงานแสดงตามรอยน้องสาว คือ “เจนเน็ตต์ หลิน จุ่ย” ซึ่งเป็นดาราดังมาก่อนพี่ชาย
ในวงการภาพยนตร์ ผลงานน่าจดจำอันดับต้นๆ ของเคนเนธ ซาง ก็คือการร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “A Better Tomorrow” (โหด เลว ดี) ของ “จอห์น วู” เมื่อปี 1986
ก่อนจะได้ไปร่วมแสดงในหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง อาทิ เจมส์ บอนด์ ตอน “Die Another Day” “The Replacement Killers” “Rush Hour 2” “Memoirs of a Geisha” และ “Anna and the King” เป็นต้น
เกียรติยศสูงสุดในวงการหนังของเคนเนธ คือ การได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมบนเวทีฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ดส์ ประจำปี 2015 จากผลงานในภาพยนตร์เรื่อง “Overhead 3”
นอกจากนั้น เคนเนธ ซาง ยังฝากฝีมือเอาไว้ในซีรีส์โทรทัศน์จำนวนมาก โดยภาพลักษณ์ที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุด ก็น่าจะได้แก่การสวมบทบาทเป็น “มารบูรพา อึ้งเอี๊ยะซือ” ใน “มังกรหยกภาค 1 และ 2” ฉบับปี 1983
“อัญญนันท์ (มาลี) บุณยศรีสวัสดิ์” หรือ “น้ามาลี” คือ “1 ใน 3 น้า” ผู้ดำเนินรายการวิทยุ “แซทแอนด์ซัน” ร่วมกับน้าผู้ชายอีกสองคน ได้แก่ “น้าณรงค์ ณรงค์ ลัมะกานนท์” และ “น้านัท อุดม โพธิ์ทอง”
น้ามาลีเพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในวัย 67 ปี ด้วยปัญหาสุขภาพส่วนตัว
ในแง่ความทรงจำส่วนบุคคล ผมเริ่มฟังรายการวิทยุแซทแอนด์ซันเป็นครั้งแรกโดยบังเอิญ ระหว่างการนั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือสอบเมื่อปี 2540
จำได้ว่าตัวเองหมุนวิทยุเอฟเอ็มไปแถวๆ คลื่น 90 ต้นๆ (90.5) แล้วก็ได้ยินผู้ดำเนินรายการวัยกลางคนชายสองหญิงหนึ่ง พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องหนัง (ช่วงนั้น ผมกำลังตื่นตาตื่นใจกับหนังไทยอย่าง “2499 อันธพาลครองเมือง” และ “ฝัน บ้า คาราโอเกะ” พอดี)
วันนั้น ผู้ดำเนินรายการที่ผมยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามทั้งสามคนกำลังสนทนากันเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง “อันดากับฟ้าใส” ผลงานของ “หม่อมน้อย ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” แล้วมีจังหวะหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการหญิง (จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้ามาลี) ก็พูดวิจารณ์ออกมาว่า “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” นักแสดงดาวรุ่งที่เป็นดารานำของหนัง มีหน้าตาเหมือน “มนุษย์หมาป่า”
คำวิจารณ์ของผู้ดำเนินรายการหญิงทำให้ผมรู้สึกขำมาก และตัดสินใจฟังรายการวิทยุรายการนั้นจนจบ (กระทั่งลืมอ่านหนังสือสอบไปเลย) ก่อนจะได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่ารายการดังกล่าวมีชื่อโปรแกรมว่า “แซทแอนด์ซัน” ออกอากาศทางคลื่น 90.5 และดำเนินรายการโดยน้าณรงค์ น้านัท และน้ามาลี
หากพิจารณาในบริบทที่กว้างขวางขึ้น รายการแซทแอนด์ซันก็ย่อมถือเป็น “งานวิจารณ์บันเทิง” แขนงหนึ่ง ที่ต่อยอดมาจากวัฒนธรรมการเสพความบันเทิงประเภทต่างๆ (หนัง เพลง ละคร) ซึ่งเติบโตผลิบานพร้อมสื่อสิ่งพิมพ์-โทรทัศน์-วิทยุในช่วงกลางทศวรรษ 2520 จนถึง 2540
ในด้านหนึ่ง สังคมไทยได้อ่านบทวิจารณ์หนังอย่างเป็นกิจจะลักษณะและมีเนื้อหาเข้มข้น ผ่านงานเขียนของกิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน, สุทธากร สันติธวัช, ตีตั๋ว (มงคลชัย ชัยวิสุทธิ์), ประวิทย์ แต่งอักษร, มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์, สิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์, นรา (พรชัย วิริยะประภานนท์) เรื่อยมาจนถึงนักวิจารณ์รุ่นไบโคสโคป เป็นต้น
เช่นเดียวกับที่เราสามารถหาอ่านบทวิจารณ์อัลบั้มเพลงอันมีเนื้อหาหนักแน่นจากนิตยสาร เช่น สีสัน และแม็กกาซีนดนตรีที่เวียนว่ายตายเกิดบนแผงหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง
ทว่า ในอีกด้าน ก็มิอาจปฏิเสธว่า “น้าณรงค์-น้านัท-น้ามาลี” ซึ่งมีสถานะเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง “ชมรมวิจารณ์บันเทิง” เช่นกัน ได้ยืนหยัดที่จะทำงานวิจารณ์-ปริทัศน์ “สื่อบันเทิงต่างๆ” ผ่านการพูดจาแสดงความเห็นและอารมณ์ความรู้สึกในรายการวิทยุ
โดยที่ “การวิจารณ์บันเทิงแบบแซทแอนด์ซัน” ไม่ได้วางพื้นฐานอยู่บนการครุ่นคิดอะไรอย่างซีเรียสจริงจัง แต่มีการนำเสนอข้อมูลที่ถูกบ้าง (น้าๆ จะจดจำข้อมูลเรื่องหนังเก่าๆ ได้แม่นยำจนน่าทึ่ง) และผิดบ้าง (ในประเด็นศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยช่วงทศวรรษ 2540-2550)
เนื้อหาของรายการแซทแอนด์ซันถูกถ่ายทอดผ่านวัฒนธรรมแบบมุขปาฐะ ที่ออกแนวเมาธ์มอย รำลึกความหลัง จิกกัดเสียดสีนู่นนี่ไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เข้าประเด็น บางคราวก็ไถลออกนอกประเด็นไปไกล
เช่น จู่ๆ น้ามาลีก็ร้องเพลงออกมาระหว่างที่น้าคนอื่นๆ กำลังพูดอยู่ หรือพอน้านัทเกิดอินกับผลงานของทีมฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีและความเคลื่อนไหวของมหกรรมกีฬาใหญ่ๆ ระดับนานาชาติขึ้นมา น้าอีกสองคนที่เหลือก็ดันสนทนากลับด้วยเรื่องอื่นซะงั้น
เมื่อเพื่อนมิตรบางคนมองว่ายุคปัจจุบันคือห้วงเวลาตกต่ำของ “งานวิจารณ์บันเทิงไทย” เพราะงานวิจารณ์บันเทิงรุ่นหลังที่คนนิยมอ่านกันเยอะผ่านเพจเฟซบุ๊กต่างๆ มักเขียนขึ้นด้วยการใส่อารมณ์เวิ่นเว้อ ใช้ถ้อยคำหวือหวา แต่ไม่ได้นำเสนอหลักการและเค้าโครงความคิดที่เป็นระบบระเบียบหนักแน่นนัก
ในใจผมมักเห็นแย้งต่อมุมมองข้างต้นนิดๆ เพราะส่วนตัวเชื่อว่านั่นเป็น “การวิจารณ์บันเทิง” อีกแขนง ที่ดำรงอยู่คู่สังคมไทยมาเนิ่นนานแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ยุครายการแซทแอนด์ซัน
รายการวิทยุแซทแอนด์ซันยืนหยัดท้าทายความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมาได้กว่าสามทศวรรษ (ด้วยการเป็นสื่อเอกชนเจ้าท้ายๆ ที่เช่าตู้ ปณ. ไว้รองรับจดหมายจากแฟนๆ รายการ จนถึงปลายทศวรรษ 2550 ครั้นปิดตู้ ปณ.ไปแล้ว น้าๆ ทั้งสามคนเอง ก็ดูจะไม่ได้เชี่ยวชาญในการติดต่อสื่อสารผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดียสักเท่าใดนัก)
แต่ในที่สุด แซทแอนด์ซันก็ต้องอำลาหน้าปัดวิทยุรอบแรกเมื่อกลางปี 2559 ก่อนจะรีเทิร์นกลับมาหาแฟนๆ ในช่วงสั้นๆ ที่สถานีวิทยุจุฬาฯ ช่วงต้นทศวรรษ 2560
และคงไม่มีการหวนคืนรอบที่สาม เมื่อน้ามาลีจากไป
เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง มักผูกรัดยึดโยงอยู่กับค่านิยมที่ผันแปรของผู้คน และพลวัตทางวัฒนธรรม อย่างไม่อาจแยกขาด
แต่ข่าวคราวการสูญเสียของ “เคนเนธ ซาง” และ “มาลี บุณยศรีสวัสดิ์” ก็ช่วยย้ำเตือนให้พวกเราตระหนักว่า อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งชี้ความเปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้ได้ชัดเจนแน่นอนที่สุด กลับกลายเป็น “การลาจากของผู้คน”
ที่บางครั้ง ก็เป็นการลาจากซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสิ้นสุดลงของยุคสมัยหนึ่งๆ หรือบางคราว ก็เกิดขึ้นตรงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคสมัย •