ธงทอง จันทรางศุ | มองเรา มองเขา มองโลก

ธงทอง จันทรางศุ

วันนี้พอมีเวลาว่าง เรามาทบทวนกันสักหน่อยไหมครับว่าชีวิตของเราแต่ละคนทุกวันนี้ เราได้รับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งใดบ้าง และข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นมีส่วนปรุงแต่งความเข้าใจวิธีมองโลกของเราอย่างไร

ที่ผมฉุกใจคิดเรื่องนี้ขึ้นมาและตั้งคำถามดังกล่าวขึ้น เพราะผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครท่านหนึ่งเมื่อเร็ววันนี้

ท่านบอกว่าแต่ละวันท่านใช้เวลาในการอ่านหนังสือพิมพ์มากพอสมควร แต่ท่านไม่ได้ขยายความต่อไปว่าท่านได้รับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งอื่นอีกบ้างหรือไม่

สมมุตินะครับ สมมุติ

สมมุติว่าใครก็แล้วแต่ มีวิถีชีวิตที่เลือกรับข้อมูลข่าวสารเพียงช่องทางเดียวจากสื่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งยังมีคำถามที่ต้องถามซ้อนลงไปอีกว่า อ่านกี่เล่ม หนังสือพิมพ์ชื่ออะไร และอ่านครบทุกคอลัมน์หรือไม่ หรือเลือกอ่านเพียงบางคอลัมน์

ผมเชื่อว่าชุดของข้อมูลข่าวสารที่บุคคลท่านนั้นได้รับจากสื่อหนังสือพิมพ์เพียงสื่อเดียวย่อมมีแวดวงที่จำกัด เมื่อเปรียบกับใครก็แล้วแต่อีกคนหนึ่งที่มีช่องทางการเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายมากกว่า

เพื่อให้เข้าใจง่าย ขออนุญาตยกตัวอย่างผมเองก็แล้วกัน

ทุกวันนี้ตื่นนอนตอนเช้าขึ้นมาแล้วผมอ่านหนังสือพิมพ์สองฉบับครับ คงไม่เป็นการผิดร้ายอะไรถ้าจะบอกว่าหนึ่งในจำนวนนั้นคือหนังสือพิมพ์มติชน ส่วนอีกเล่มหนึ่ง ในสายตาของผมแล้วเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีความเป็นข่าวชาวบ้านมากกว่า ในมุมมองของผม การบอกรับหนังสือพิมพ์สองเล่มให้คนมาส่งที่บ้านเพื่ออ่านตอนเช้าอย่างนี้ จึงเป็นการถ่วงดุลข่าวสารไปในตัว ด้วยความหวังว่าไม่ให้เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง อย่างน้อยก็มีการสอบทานกันในระดับหนึ่ง

ถามว่าผมดูข่าวโทรทัศน์บ้างหรือไม่ ถ้าไม่รีบร้อนไปไหน ช่วงเช้าผมก็มีโอกาสดูข่าวโทรทัศน์บ้าง รายการข่าวที่สามารถดูไปบ้าง ฟังไปบ้าง เดินเข้าห้องน้ำไปด้วย แต่งตัวไปพลาง จะเป็นอะไรไปได้นอกจากรายการของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ซึ่งรายงานข่าวหลากหลายและมีสีสันพอสมควร

ตกค่ำตอนใกล้ทุ่ม ระหว่างนั่งกินข้าวเย็น ผมก็มีข่าวโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสเป็นเพื่อน นอกจากข่าวสารรายวันแล้ว ช่องที่ว่านี้มีการทำสกู๊ปข่าวเชิงลึกแทบจะทุกวัน ข้อมูลหรือวิธีมองข่าวสารจึงแตกต่างไปจากโทรทัศน์อีกหลายช่องซึ่งทำหน้าที่เพียงแต่เล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การทำสกู๊ปข่าวซึ่งต้องใช้ความพยายามมากกว่า ได้ช่วยขยายพรมแดนความรู้ของผมให้กว้างขวางออกไป สนุกดีครับ

นอกจากข่าวสารจากหนังสือพิมพ์และโทรศัพท์แล้ว ข่าวสารที่มาในระบบออนไลน์ก็หลั่งไหลเข้ามาหาชีวิตผมตลอดทั้งวัน ขึ้นต้นตั้งแต่สำนักข่าวต่างๆ ที่เป็นสำนักข่าวออนไลน์และรายงานข่าวสดๆ ร้อนๆ นาทีต่อนาที ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งรายงานข่าว สกู๊ปข่าว หรือแม้กระทั่งคอลัมน์เล็กๆ น้อยๆ เรื่องการใช้ชีวิตที่ฝรั่งเรียกว่า Lifestyle ต่างๆ คลิปสารพัดจากผู้สร้างสื่อออนไลน์ ข้อความที่ส่งกันออนไลน์ จากเพื่อนฝูงญาติมิตรทางที่เป็นส่วนบุคคลและที่เป็นกลุ่ม รับรู้กันไม่หวาดไม่ไหว

ด้วยการเปิดรับข้อมูลข่าวสารกว้างขวางและหลากหลายอย่างนี้ ถึงแม้ผมไม่อาจหาญที่จะบอกว่าผมฉลาดรอบรู้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือรู้อะไรต่อมิอะไรมากขึ้น แต่อย่างน้อยผมน่าจะรับรองกับตัวเองได้ว่า ผมรู้เท่าทันสถานการณ์โลกโดยไม่ตกยุค และพอเข้าใจได้ว่าชาวโลกส่วนใหญ่มองเห็นอะไรบ้างหรือพบกับอะไรบ้างในแต่ละวัน

ลองยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมสักเรื่องสองเรื่องไหมครับ

เราลองมาดูประเด็นเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ การมองเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใครด้อยกว่าใคร สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของแต่ละคน การเคารพในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรืออะไรทำนองนี้

ขณะที่ผมเขียนข้อความสองสามบรรทัดที่เพิ่งผ่านมา ผมคิดว่าคำหลายคำเหล่านั้นมีความผูกโยงและเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกันสนิทโดยไม่อาจแยกจากกันได้

ถึงแม้ประเด็นเหล่านี้จะไม่ได้มีการเรียนการสอนหรือพูดกันมากนักในชั้นเรียนระดับต่างๆ ของประเทศไทย แต่ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในเรื่องทั้งปวงที่ออกชื่อมาแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในชั้นเรียนที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมของเราเท่านั้น หากแต่เป็นความรู้ความเข้าใจและทัศนคติร่วมของชาวโลกยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นผ่านสื่อและช่องทางต่างๆ ที่หลากหลาย

การที่จะมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ในระดับที่พอจะคุยกับชาวโลกได้ หรือเข้าใจว่าชาวโลกเขาคิดอะไรอยู่ จึงต้องการหัวใจที่เปิดกว้าง หูตาที่เปิดรับข่าวสาร และสมองที่พร้อมรับข้อมูลประกอบกัน

จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกหลานของเราที่เป็นคนรุ่นใหม่ความสามารถเข้าถึงและมีความตระหนักรับรู้ในเรื่องเหล่านี้พร้อมพร้อมกันกับชาวโลก

ในขณะที่ “ผู้อาวุโส” จำนวนหนึ่งสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงนี้ และอีกจำนวนหนึ่งตกหล่นเรี่ยราดอยู่ข้างหลัง

ลองนึกดูนะครับว่า คนในวัยเดียวกับผมหรือแก่กว่าผมจำนวนไม่น้อย เติบโตมาพร้อมกับค่านิยมที่มองเห็นผู้หญิงเป็นเพศที่ด้อยกว่า หรือพูดให้สุดโต่งก็ต้องกล่าวว่า มองเห็นผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ ต้องรองรับและเป็นเบี้ยล่างของเพศชายซึ่งมีฐานะสูงกว่า

ด้วยวิธีคิดอย่างนี้ ในช่วงเวลาประมาณเดือนเศษที่ผ่านมา เราจึงได้ยินข่าวทั้งเรื่องนักการเมืองระดับสูงในพรรคการเมืองเก่าแก่มีปัญหาคดีข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศหลายคดี

รวมทั้งข่าวเรื่องผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยเก่าแก่อีกเหมือนกันถ่ายรูปพนักงานต้อนรับบนสายการบินแล้วโพสต์ลง Facebook เพื่อให้รุ่นน้องที่เห็นโพสต์นั้น “น้ำลายไหล”

ในทัศนะของผม ข่าวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงระบบความคิดว่าด้วยฐานะที่สูงกว่าของเพศชายที่มีอยู่เหนือเพศหญิงอันมีมาแต่เดิมหลายชั่วคน เมื่อต้องพบกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก พบกับความคิดใหม่ซึ่งเจ๋งกว่า ความคิดแบบเดิมก็เจ๊งสิครับ

ดังนั้น ใครก็ตามที่ตกยุคตกสมัยและยังเห็นขำขันกับมุขเดิมๆ หรือมีความประพฤติแบบเดิม ก็จะเอาชีวิตไม่รอดในยุคปัจจุบัน

อุทาหรณ์เรื่องนี้น่าจะสอนใจใครได้อีกหลายคนและอีกหลายเรื่อง เพราะการปะทะกันระหว่างระบบความคิดอย่างเก่าที่ตกยุคแล้วกับระบบความคิดแบบใหม่ที่เข้ามาแทนที่ยังมีอีกหลายเรื่อง

ใครจะนึกเลยว่าปัญหาเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การต่อต้านลัทธิอำนาจนิยม ความเท่าเทียมกันระหว่างบุคคล ความโปร่งใสในการทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล รวมไปถึงเรื่องการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากภาคประชาชน จะผูกรวมกันเข้าเป็นเรื่องเดียว และทำให้ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ซึ่งเป็นบ้านพักของข้าราชการฝ่ายตุลาการที่จังหวัดเชียงใหม่จะต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นกระบวนท่า

การปลาบปลื้มดื่มด่ำกับชุดของความเชื่อหรือข้อมูลที่ได้เรียนรู้ตอนเรียนชั้นประถมเมื่อห้าสิบหกสิบปีก่อน ไม่มีพิษมีภัยอะไร ถ้าปลาบปลื้มแล้วนั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ ปล่อยให้โลกภายนอกหมุนไปตามครรลอง โดยไม่ไปกีดขวาง หรือวิ่งสวนทางย้อนกลับ ทำอะไรที่ไม่เข้าท่าเข้าทางต่างๆ

แต่ถ้าทำตรงกันข้าม คือไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับวิธีคิดอันเป็นวิถีโลกปัจจุบัน แบบนี้ก็ลำบากหน่อย ทั้งลำบากส่วนตัวและลำบากคนอื่นด้วย

ถ้าผมทำอะไรที่ไม่เข้าท่าเข้าทางเมื่อไหร่ ช่วยสะกิดด้วยนะครับ หรือจะตะโกนบอกมาดังๆ ก็ได้ รักกันก็ต้องเตือนกัน

ผมสัญญาว่า จะไม่หน้างอ ชักสีหน้า ขึ้นเสียง กล่าวท้าทาย หรือกล่าวผรุสวาจาตอบคำเตือนเหล่านั้นเป็นอันขาดนะเออ