‘กาโตะ’ ยังแน่กว่า ‘3 ป.’/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

‘กาโตะ’ ยังแน่กว่า ‘3 ป.’

 

พลันที่ได้ยินคำว่า “ผมพร้อมพลิกโฉมประเทศอย่างก้าวกระโดด ไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก” ก็เกิดอาการกระอักกระอ่วน หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้

ถ้อยคำเหล่านั้นโพสต์อยู่ในเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha เมื่อ 30 เมษายนที่ผ่านมา

ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน

มีความรู้อะไรเกี่ยวกับวิวัฒน์ของโลก หรือการพัฒนาและล่มสลายของประเทศต่างๆ ในประวัติศาสตร์ มีความรู้อะไรเกี่ยวกับผู้คน ชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี

มี “ต้นทุน” อยู่เท่าใดถึงได้กล้าคิดกล้าโพสต์แบบ “หากำไรเกินควร”!

สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน ประเทศในแถบยุโรปไม่ได้จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเจริญก้าวหน้า ต้องมีวิชั่น มีความสงสัย มีจิตใจที่มุ่งมั่นฟันฝ่ากล้าเปลี่ยนแปลง อังกฤษจึงมี “กฎบัตรแม็กนาคาร์ตา” มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม

คงจะไม่มีการพลิกโลกการสื่อสารส่วนบุคคล ถ้าอเล็กซานเดอร์ เบลล์ กับโธมัส วัตสัน ไม่ทดลองและให้กำเนิด “โทรศัพท์”

จะไม่มีมหาอำนาจ “สหรัฐอเมริกา” ถ้าไม่กล้าปลดแอกที่กดทับแล้วประกาศอิสรภาพจากจักรวรรดิ!

กว่าจะเป็น “ประเทศชั้นนำ” ของโลกต้องมี “ความเป็นมา”!

การพัฒนาประเทศไม่ใช่แค่สั่งซ้ายหันขวาหัน หรือนั่งเพ้อเจ้อเพ้อฝัน

การพลิกโฉมประเทศชนิด “ก้าวกระโดด” ไม่มี จะมีก็แต่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ ขบคิด ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ สร้างสรรค์นวัตกรรมและครอบครองเทคโนโลยี

ไม่มีหรอกที่จะได้มาจาก “ส่งออกมะม่วง” ติดอันดับ 2 ของอาเซียนหรืออันดับ 7 ของโลก

และที่ยกเอาการช่วยเหลือประชาชนมาอวดอ้างว่าเป็น 1 ในการพัฒนานั้น นั่นคือ อันตราย

การใช้เงินโปรยหว่านซื้อใจล่วงหน้า ทำลายวินัยการเงินการคลัง!

นายนณริฏ พิศลยบุตร แห่ง “ทีดีอาร์ไอ” เคยกล่าวถึงงบประมาณปี 2565 เอาไว้ เกณฑ์วินัยทางการเงินการคลังกำหนดว่า เงินกู้ไม่ควรมากกว่าเงินลงทุน เมื่อกู้เงินมาจำนวนมากแล้วนำเงินกู้นั้นไปลงทุนก็ยังเข้าท่า แต่ถ้ามีการกู้มากกว่าการลงทุน แปลว่า กู้มาเพื่อการบริโภค นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี

“เกณฑ์วินัยการเงินการคลังคือ อย่างน้อยควรนำเงินกู้ไปลงทุนให้เกิดผลงอกเงยออกมา ไม่ใช่กู้มาเพื่อบริโภคแล้วเงินก็หมดไป จะทำให้มีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าการเงินรัฐบาลล้ม หมายความว่า เราล้มกันทั้งประเทศ”

ความเห็นทิ้งท้ายที่น่าสยดสยองของนายนณริฏจากทีดีอาร์ไอ สอดคล้องกับนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย และนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (ประวิตร วงษ์สุวรรณ)

ด้วยหนี้ครัวเรือนที่สูงสุดในรอบ 18 ปีกับรายงานการลงทุนของอาเซียนในปี 2563-2564 ว่า มีเพียง “ไทย” ประเทศเดียวที่ติดลบ “สมชัย” จึงปั้นเป็นคำขวัญให้กับรัฐบาลประยุทธ์ว่า “เจ๊งทั้งแผ่นดิน” ขณะที่ “ไพศาล” สะบัดดาบอาบเลือดว่า “ขณะนี้ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะสูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 10 ล้านล้านบาท แล้วยังจะก่อหนี้แผ่นดินอีก 1 ล้านล้าน แต่ซุกไว้ ไม่ลงบัญชีเป็นหนี้สาธารณะ”

หากรวมตัวเลขทั้งหมดแล้ว “หนี้สาธารณะ” สูงเกือบ 12 ล้านล้าน!

ถ้าเป็นไปตามนั้นก็เข้าทางนำไปสู่การยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนตรวจสอบ…สมคบกันซุกหนี้สาธารณะจริงหรือไม่

ใครทำผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายเงินคงคลัง กฎหมายงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยหนี้สาธารณะ มีความผิดร้ายแรง มีโทษจำคุก อาจถึงขั้นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

ประยุทธ์ลืมตัวกับประยุทธ์ลืมไป ยังได้โพสต์ประกาศอีกว่า 1 ใน 5 ด้านที่รัฐบาลนี้ “พัฒนา” คือ ด้านสุขภาพ ด้วยการยืนยันว่า องค์การอนามัยโลกยกไทยให้เป็น 1 ในประเทศต้นแบบนำร่องจัดกิจกรรมเตรียมพร้อมกรณีฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า – นั่นคือผลจากการกระทำของรัฐบาลกับข้าราชการในชุดก่อนหน้า

“ประยุทธ์” คุยเพลินกระทั่งบอกว่าปัจจุบันไทยมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโควิด-19 ลดลง

ใครเขียนสคริปต์ให้!?

นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์หมอแห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพิ่งโพสต์ลงเฟซบุ๊กสดๆ ร้อนๆ เกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในประเทศไทย

“ไทย” ซึ่งมีขนาดเท่ารัฐเท็กซัส แค่ 1 รัฐในสหรัฐอเมริกา แต่กลับมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย

ทุกวันนี้ “ไทย” ยังมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

“ไทย” กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงติด “ท็อป 10 ของโลก” มาเป็นเวลา 45 วันติดต่อกัน

“ประยุทธ์” นั่งเป็น ผอ.ศบค.มาตลอด ไม่เคยมีปฏิบัติการเชิงรุกตั้งแต่ต้น จะมาพลิกโฉมงานสาธารณสุขได้อย่างไร “โควิด-19” ยับยั้งไม่ได้ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และหยุดไม่ได้ด้วยอาวุธของกองทัพ

 

คําประกาศ “พลิกโฉมหน้าประเทศไทย” ถ้ามิใช่การผายลมก็เป็นการถ่มน้ำลายขึ้นไปในท้องฟ้า อย่างเช่น นโยบายแจกหว่านแบบไม่จำแนกกับการอุดหนุนน้ำมันดีเซลชนิดที่ไม่จำเพาะเจาะจงนั้น ข้อมูลทีดีอาร์ไอชี้ชัดว่า การแจกเงินเป็นการทำลายและการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลของรัฐนั้นเป็นผลเสียมากกว่าได้

ทำให้คนรวย 20% (ข้างบน) ได้รับประโยชน์มากกว่า “คนรายได้น้อย” จำนวน 20% (ข้างล่าง) ถึง 7.5 เท่า

ผลจากการเดินทางผิดทำให้หนี้ครัวเรือนท่วม ตัวเลขเงินเฟ้อสูง สินค้าแพง กำลังซื้อหด โรงงานปิด รายย่อยล้ม กิจการเลิก คนว่างงานเพิ่ม

พลันที่ได้ยินว่า “ผมพร้อมจะพลิกโฉมประเทศอย่างก้าวกระโดด ไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก” บรรดาเจ้าแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ เซียนธุรกิจ นักการค้านักลงทุนจึงต่างพากันนั่ง “อมยิ้ม”

นิ่งเสียตำลึงทอง เรียนรู้ที่จะอยู่ตามขนบเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

ถึงอย่างไรฉลาดแกล้งโง่ก็ปลอดภัยกว่าโง่แล้วอวดฉลาด

ประเทศไทยจะพัฒนาไปทางไหนขึ้นอยู่กับการเมืองการปกครองที่ชี้นำ

ตั้งแต่วันรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ประเทศไทยเหมือนถูกผลักตกลงไปในหุบเหวลึก และยิ่งดำดิ่งลึกลงไปชนิดไม่เห็นแสงเห็นตะวันเมื่อเกิด “กติกาแก้ยาก” สร้างกลไกให้แก๊ง 3 ป.แห่ง คสช.สืบทอดอำนาจ

ต่างกับ “กาโตะ” สิ้นเชิงที่ผิดแล้วถอย ไม่ขี้ฉ้อ-ไปต่อ!?!!!