ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ศึกยูเครนเดินหน้าสู่โลกล้อมรัสเซีย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เดือนสามแห่งการรุกรานยูเครนยังคงเดินหน้าโดยไม่มีวี่แววว่ารัสเซียจะยุติปฏิบัติการลง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือยิ่งนานรัสเซียก็ยิ่งยกระดับการเผชิญหน้าสู่ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นล่าสุดเริ่มมีการประเมินว่าปูตินอาจประกาศสงครามกับยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 9 พฤษภาคม

จริงอยู่ ทุกสิ่งที่รัสเซียทำในยูเครนตั้งแต่เริ่มรุกรานในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ คือสงครามตามนิยามของมนุษย์ทุกคน แต่สำหรับประเทศซึ่งอยู่ภายใต้อุ้งมือปูตินมาตั้งแต่ปี 2542 การรุกรานยูเครนขนาดนี้ถือเป็นเพียง “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” เพื่อการ “ถอนระบอบนาซี” เท่านั้นเอง

การรุกรานยูเครนกว่า 2 เดือนโดยไม่ยอมรับว่าคือ “สงคราม” สะท้อนความหน้าไหว้หลังหลอกของปูติน แต่ถ้ารัสเซียประกาศสงครามกับยูเครนจริงๆ ปูตินจะสามารถออกคำสั่งเกณฑ์ทหารและระดมกำลังพลสำรองเพิ่มจำนวนมาก

ซึ่งหมายความว่าการโจมตียูเครนอาจรุนแรงกว่าตอนนี้หลายเท่าตัว

ไม่มีใครรู้ว่ารัสเซียสูญเสียกำลังพลในการรุกรานยูเครนไปกี่คน กลาโหมอังกฤษแถลงวันที่ 2 พฤษภาคมว่า รัสเซียเสียทหารที่บุกยูเครนไป 1 ใน 4 และใช้ทหารบุกยูเครนทั้งสิ้น 120 กองพัน หรือประมาณ 65% ของทหารราบทั้งหมด ซ้ำยังเป็นไปได้ที่การสูญเสียความสามารถด้านการรบจะมากกว่า 25%

รัสเซียไม่เคยพูดตรงๆ ว่าทหารตายหรือบาดเจ็บจากการรุกรานยูเครนกี่คน ครั้งสุดท้ายที่มีการพูดเป็นเรื่องราวที่สุดคือเมื่อโฆษกปูตินแถลงในวันที่ 7 เมษายน ว่ารัสเซีย “สูญเสียกำลังรบมากอย่างมีนัยยะสำคัญ” แต่ก็ไม่เคยมีการเปิดเผยจำนวนให้ชัดเจน

ที่ผ่านมานั้นรัสเซียเคยออกคำสั่งเกณฑ์ทหาร 134,500 นาย ระหว่างวันที่ 1 เมษายน-15 กรกฎาคม แต่ปูตินก็เคยประกาศว่าศึกยูเครนจะใช้แต่ทหารอาชีพ การใช้ทหารเกณฑ์ไปรบจึงจะไม่เกิดขึ้นแน่ๆ แต่ทหารเกณฑ์จะเปิดโอกาสให้ย้ายทหารอาชีพจากพื้นที่อื่นไปรบในยูเครนทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไป

ปัญหาที่ไม่มีใครรู้คือถ้ารัสเซียสูญเสียจากการปิดล้อมเคียฟและโจมตียูเครนภาคตะวันออกมากขนาดนี้ จำนวนทหารอาชีพที่รัสเซียย้ายไปจากพื้นที่อื่นจะมีพอให้รัสเซียรบกับยูเครนได้อีกกี่เดือน

คนไม่น้อยประเมินว่าปูตินจะประกาศสงครามเพื่อใช้กำลังพลสำรอง แต่การสั่งกำลังพลสำรองไปรบเท่ากับเป็นการบอกว่าทหารประจำการที่รัสเซียใช้ในยูเครนตอนนี้ไม่พอ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพูดถึงมีโอกาสที่จะหมดสภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นในด้านอื่นอีกเช่นกัน

ตามที่ พล.อ.มาร์ก เฮิร์ต ลิง อดีตผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐประจำทวีปยุโรประบุ กำลังพลสำรองที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ทำให้ความสามารถด้านการสู้รบเพิ่มขึ้นเลยก็ได้ และทหารรัสเซียที่มาจากกำลังพลสำรองมีความสามารถด้านการสู้รบอาจมีสัดส่วนแค่ 10 คน จาก 1,000 คนเท่านั้นเอง

ไม่ว่าปูตินจะตัดสินใจประกาศสงครามลักษณะไหนในวันที่ 9 พฤษภาคม คำประกาศล้วนสะท้อนปัญหาของรัสเซียในการทำศึกยูเครนที่มีมาตั้งแต่เดือนแรก นั่นคือความไม่พร้อม, การตัดสินใจบุกโดยไม่แจ้งให้รัฐมนตรีคนอื่นทราบล่วงหน้า และความไม่สามารถเอาชนะยูเครนได้เร็วอย่างที่เคยคิดไปเอง

นอกจากความพยายามเพิ่มจำนวนทหารในศึกยูเครนซึ่งสะท้อนว่ารัสเซียรุกรานประเทศอื่นไม่ถอย “วาทกรรม” หรือ “สงครามข่าวสาร” ของระบอบปูตินก็สะท้อนว่าปูตินต้องการยกระดับการเผชิญ หน้ากับยูเครนและประเทศอื่นๆ ให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

รัสเซียประกาศตั้งแต่ต้นว่าทุกประเทศที่ประณามการรุกรานยูเครนคือศัตรู ยิ่งกว่านั้นคือรัสเซียระบุว่าพร้อม “ตอบโต้อย่างฉับพลัน” กับทุกชาติที่เป็นศัตรูทั้งหมด ซ้ำรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือโฆษกปูตินก็พูดตลอดถึงสงครามโลกที่สาม, การใช้ระเบิดนิวเคลียร์ และจุดจบที่เป็นหายนะของทุกคน

ทิศทางหลักของรัสเซียเดินหน้าสู่การยกระดับการเผชิญหน้ากับทุกประเทศในโลก

แต่ที่หนักกว่าทิศทางคือมาตรการตอบโต้กลับ ที่ยิ่งนานรัสเซียยิ่งแสดงความมุ่งมั่นทำลายล้างโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่น คำประกาศของ “อเล็กเซย์ ชูราฟลยอฟ” ส.ส.และหัวหน้าพรรคชาตินิยมรัสเซีย

ในการแสดงความเห็นผ่านโทรทัศน์รัสเซีย “ชูราฟลยอฟ” พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ใส่ลอนดอน, ปารีส และเบอร์ลินภายใน 200 วินาที และ “ด้วยขีปนาวุธซาร์มัตลูกเดียว เกาะอังกฤษจะไม่เหลือ” ส่วนผู้ดำเนินรายการระบุว่าการโจมตีครั้งนี้ “จะไม่มีใครรอดชีวิต”

จริงอยู่ว่าคำประกาศแบบนี้ไม่ใช่ท่าทีของปูตินอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อคำนึงว่าสื่อ, รัฐบาล รวมทั้งนักการเมืองรัสเซียแสดงความเห็นทิศทางนี้อย่างต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นของรัสเซียในการโจมตีแบบนี้จึงมีอยู่จริงแน่ๆ

หรืออย่างน้อยก็ไม่กังวลที่จะเผชิญหน้าอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมนีเรื่องนี้เลย

นอกจากจะก่อสงครามน้ำลายก่อนเกิดเรื่องใหญ่กับอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมนี รัสเซียก็ยังเปิดศึกกับสวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก และฟินแลนด์โดยต่อเนื่อง และหลังจากข่มขู่ว่าจะวางกำลังนิวเคลียร์ล้อมทะเลสวีเดนและฟินแลนด์ ล่าสุดรัสเซียก็ส่งเครื่องบินสอดแนมเข้าสวีเดนและเดนมาร์กซ้ำอีกที

ถึงตอนนี้ นอร์เวย์ปิดพรมแดนทางบกและทางน้ำกับรัสเซียไปแล้ว ส่วนสวีเดนกับฟินแลนด์จะเริ่มกระบวนการเป็นสมาชิกนาโตในกลางเดือนพฤษภาคม ขณะที่เดนมาร์กประท้วงการบินสอดแนมอย่างดุเดือด การเผชิญหน้าของรัสเซียกับประเทศกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงกว่าที่ผ่านมา

ต่อให้ไม่นับประเทศในยุโรปที่ประณามการรุกรานยูเครน จำนวนประเทศที่รัสเซียแสดงความเป็นศัตรูในยุโรปตอนนี้ก็มีอย่างน้อย 7 ไปแล้ว และหากนับประเทศที่เกี่ยวพันกับการส่งอาวุธช่วยอย่างเนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, สโลวะเกีย , อิตาลี, สเปน ฯลฯ ไปด้วย ศัตรูของรัสเซียก็อาจสูงถึง 15 ราย

ล่าสุด รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียก็เปิดศึกใหม่กับอิสราเอล โจมตีว่าประธานาธิบดียูเครนเป็นคนยิวเหมือนฮิตเลอร์ที่มีบรรพบุรุษเป็นยิว

หรืออีกนัยหนึ่งคือการโจมตีคนยิวว่าคือต้นเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิวทั้งหมด ไม่ใช่พวกขวาจัดอย่างฮิตเลอร์ที่ทุกคนรู้กัน

ด้วยท่าทีที่รัสเซียมีเรื่องกับแทบทุกประเทศในโลกที่ไม่ใช่พวกตัวเอง รัสเซียกำลังเข้าสู่เดือนที่สามของศึกยูเครนโดยมีศัตรูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ประเทศเหล่านี้พร้อมจะส่งอาวุธสนับสนุนยูเครนในการปกป้องประเทศจากผู้รุกรานมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

ในกรณีอิสราเอล คำพูดรัสเซียทำนอง “ฮิตเลอร์เป็นยิว” หรือ “ยิวฆ่ายิว” ส่งผลให้อิสราเอลอนุญาตให้เอสโตเนียส่งจรวด Spike ของอิสราเอลช่วยยูเครน ทั้งที่อิสราเอลเลี่ยงที่จะมีท่าทีเรื่องนี้มาตลอด แม้จะมีหลักฐานว่ายูเครนใช้จรวดมาธาดอร์ของอิสราเอลทำลายรถหุ้มเกราะรัสเซียอยู่บ้างก็ตาม

อิสราเอลคล้ายตุรกีในแง่เป็นประเทศใหญ่ซึ่งพยายามไม่ยุ่งกับเรื่องรัสเซีย-ยูเครน แต่ด้วยพฤติกรรมของรัสเซียเอง ในที่สุดทั้งอิสราเอลและตุรกีก็มีบทบาทในเรื่องนี้สวนทางรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ จนรัสเซียแทบไม่เหลือพันธมิตรในเวทีโลกอีก หากไม่นับพม่า, ซีเรีย, ลิเบีย, เกาหลีเหนือ และฮังการี

ด้วยการข่มขู่ที่รัสเซียมีต่ออังกฤษและเยอรมนี ล่าสุดรัฐบาลเยอรมนีตัดสินใจส่งปืนใหญ่แพนเซอร์ไปช่วยยูเครนอีก 7 กระบอก หลังจากเปิดประเทศให้สหรัฐฝึกทหารยูเครนไปสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่อังกฤษประกาศส่งขีปนาวุธต่อต้านเรือชั้นเยี่ยมอย่าง Brimstone ให้ทัพยูเครนเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน

เมื่อคำนึงถึงปืนใหญ่และอาวุธชั้นยอดจากสหรัฐที่ทยอยส่งให้ยูเครนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งการที่โปแลนด์เปิดประเทศให้ทหารยูเครนฝึกใช้รถถัง M1A2 กับทหารสหรัฐตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน ยูเครนกำลังได้อาวุธเพื่อโจมตีทางทะเล, การยิงระยะไกล และการป้องกันภัยทางอากาศที่น่าสะพรึงกลัว

สําหรับคนที่ตามสถานการณ์ยูเครนโดยละเอียด สัปดาห์ที่ผ่านมาคือช่วงเวลาที่ยูเครนโจมตีรัสเซียขั้นทำลายเรือลาดตระเวนและรถถังหลายจุดได้พร้อมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเท่ากับว่าความสนับสนุนจากต่างประเทศมีผลต่อสมรรถนะของทหารยูเครนอย่างแน่นอน

Oleksiy Arestovich ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครนให้สัมภาษณ์กับ Nikkei ว่า กองทัพยูเครนน่าจะสามารถเริ่มการโจมตีโต้ตอบเพื่อยึดพื้นที่คืนมาจากฝ่ายรัสเซียได้ในช่วงปลายพฤษภาคม-กลางเดือนมิถุนายน เนื่องจากอาวุธหนักจากสหรัฐ และชาติตะวันตกจะทยอยมาถึงยูเครนพอดี

เป็นครั้งแรกที่ยูเครนพูดถึงการทวงดินแดนคืนชัดเจนแบบนี้

และจากนี้สถานการณ์รัสเซียรุกรานยูเครนจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน