บางอย่างในความรักของเรา 8 / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

Nausea : Jean-Paul Sartre /photo 64.media.tumblr.com

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (8)

 

ผมได้จับมือของปิ่นในที่สุด ผมได้กุมมือของปิ่น ได้อยู่ใกล้เธอ ได้ยืนเคียงข้างเธอในที่สุด ผมได้บรรลุความตั้งใจดังกล่าวนั้นในการเผชิญหน้ากับความตายของแม่เธอ

หลายอาทิตย์ผ่านไปนับจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมมิได้ออกจากบ้านอีกเลย ผมขังตัวอยู่ในห้องของตนเอง หยิบหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าขึ้นอ่านแต่ก็หาได้เข้าใจข้อความอะไรเลยในนั้น

ผมเปิดช่องโทรทัศน์สลับสับเปลี่ยนไปมาตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเวลาหลับตานอน แต่กระนั้นก็หาได้มีรายการใดอยู่ในความทรงจำของผมเลย

สิ่งที่ตกลงท้องผมในช่วงนั้นมีเพียงอาหารไร้สาระ น้ำเปล่าและสุราเก่าเก็บที่พ่อของผมจัดวางไว้บนชั้นในห้องรับแขกเท่านั้นเอง

มีคำกล่าวอยู่เสมอว่าหากคิดจะริเริ่มการดื่มเหล้า เราไม่ควรเริ่มดื่มมันเพียงลำพัง การรู้ว่าปริมาณการดื่มเท่าไรเราถึงจะเมานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างเราระหว่างการดื่มจึงเป็นเรื่องจำเป็น

แต่ในคืนนั้นผมลุกออกจากเตียง ลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน บ้านในเวลากลางดึกแลดูเหมือนโครงกระดูกที่ปราศจากเนื้อหนัง มันเงียบเหงา อ่อนแรงและเดียวดาย

ผมดึงเหล้าขวดกลมที่มีรูปนกตัวหนึ่งออกจากชั้น ในตำแหน่งและฐานะของข้าราชการที่พอให้คุณและโทษได้บ้างของพ่อ มีผู้ประสงค์ที่จะได้รับประโยชน์จากตรงนั้นนำเหล้าหลายต่อหลายชนิดมามอบให้พ่อ

หากแต่พ่อของผมไม่ใช่นักดื่ม เหล้าเหล่านั้นจึงกลายเป็นของประดับมากกว่าสิ่งที่ลิ้มรสได้จริง

 

เมื่อกลับเข้าไปในสถานที่หมกตัวของผม ผมทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดฝาขวดเหล้าและเทเหล้าอึกแรกลงในลำคอ เหล้าอึกนั้นให้ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแก่ลำคอของผมราวกับมีใบมีดนับร้อยนับพันกรีดเฉือนสลับกันไปมา ผมสำลักน้ำเหลวใสที่บัดนี้เจือปนด้วยน้ำลายและของเหลวจากช่องท้องจนเต็มที่นอน ก่อนจะคว้าขวดน้ำตรงหัวเตียงแล้วเทมันดื่มแบบไม่หายใจหายคอ ราวสิบนาทีอาการของผมก็ดีขึ้นแม้ว่าจะไม่เป็นดังเดิมก็ตาม

ผมกลับลงมาที่ชั้นล่างของบ้านอีกครั้ง เปิดตู้เย็นนำเอาน้ำแข็งใส่กระติก ในครานี้ผมหยิบน้ำอัดลมสองขวดติดมือไปด้วย เป็นทั้งน้ำอัดลมสีเขียวและสีแดง เมื่อกลับถึงห้อง ผมลั่นกลอนปิดประตูอย่างแน่นหนา เสียงไอของผมอาจปลุกพ่อและแม่ให้ตื่นขึ้นก็เป็นได้

และหากพวกท่านพบว่าผมกำลังกรอกเหล้าลงท้องตามลำพัง คำถามจำนวนมากคงต้องติดตามมาอย่างแน่นอน

แก้วน้ำที่ผมใช้ใส่แปรงสีฟันถูกทำความสะอาด ผมตักน้ำแข็งใส่แก้วราวครึ่งแก้ว เทเหล้าจนท่วมน้ำแข็ง ก่อนจะผสมด้วยน้ำอัดลม รสชาติหวานของเหล้าในแก้วนั้นทำให้ผมรู้สึกว่ามันดื่มง่ายขึ้นกว่าครั้งแรก แต่ในทางเดียวกันมันก็ทำให้รสชาติของเหล้าเบาบางลงด้วย

ผมตัดสินใจดื่มแก้วต่อมาโดยไม่ผสมน้ำอัดลมและปล่อยให้ความเย็นจากน้ำแข็งผสมเข้ากับเหล้าแทน

ผมดื่มเหล้าแก้วนั้นก่อนจะกรอกน้ำอัดลมใส่ปากตามไป วิธีนี้ผมรู้สึกว่าเหล้าได้รสชาติกว่ามาก ผมทำเช่นนั้นอยู่สองสามแก้ว น้ำอัดลมที่ผมติดมือมาก็หมดขวดลง ในที่สุดผมดื่มเหล้าอีกแก้วและอีกแก้วก่อนจะตามด้วยน้ำเปล่าในห้อง

ผมดื่มอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกเหมือนอุณหภูมิในกายจะสูงขึ้นจนรับรู้ได้ ตาของผมพร่ามัว ผมหายใจถี่ขึ้น

และไม่นานนักผมก็ฟุบหลับลง

 

ในฝันนั้นผมแลเห็นปิ่นนั่งอยู่เคียงข้าง เธอแสดงสีหน้าผิดหวังกับการกระทำของผมอย่างยิ่ง ผมพยายามอธิบายถึงที่มาของการกระทำของผม แต่ดูเหมือนปิ่นไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับฟัง เธอยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม ผมรับกระดาษแผ่นนั้น เปิดมันขึ้นอ่านในกระดาษมีข้อความสั้นๆ เพียงว่า “ความเงียบ”

ผมตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างหนัก เป็นอาการปวดแบบที่ผมไม่เคยพบพานมันมาก่อน

ผมลุกขึ้นจากพื้นและพบว่าแม้แต่การขึ้นไปนอนบนเตียงผมยังไม่อาจกระทำได้ ขวดเหล้าเปล่ากลิ้งอยู่ที่มุมห้อง ผมตรงเข้าไปที่ห้องน้ำเปิดฝาชักโครกขึ้นและอาเจียนออกมาติดต่อกันนานนับสิบนาที ไม่มีอะไรมากในกระเพาะอาหารนอกเสียจากเศษขนมปังที่มาจากแซนด์วิชคู่หนึ่งที่ผมทานลงไปเมื่อเช้าวันก่อน

ร่างกายของผมปวดร้าว ผมคลานออกมาจากห้องน้ำทิ้งตัวลงกับพื้นอีกครั้ง กลิ่นเหม็นหืนจากสิ่งปฏิกูลในตัวอบอวลอยู่ในห้องนอนปรับอากาศของผม

ผมในวันนี้ช่างต่างจากผมที่มีความกระตือรือร้นต่อการเรียนโดยเฉพาะการเรียนที่ได้รับจากอาจารย์นพพรในหลายวันก่อนนั้น

ผมใช้ชีวิตเช่นนั้นอยู่นานนับอาทิตย์ ทานอะไรเพียงเล็กน้อยในช่วงกลางวันหลังฟื้นจากอาการเมามายก่อนจะรอให้ทุกคนในบ้านหลับใหลจนหมดแล้วคว้าเหล้าหนึ่งขวดกลับเข้าห้อง

ห้องนอนของผมเต็มไปด้วยกลิ่นอันน่ารังเกียจแต่ผมไม่สนใจ มันจะมีความหมายใดเล่าที่จะทำตัวให้สูงส่ง สะอาด สุภาพ เรียบร้อยและมีคุณค่าเพราะสิ่งเหล่านั้นก็หาได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสมจากคนที่เรารักและห่วงใย

ตลอดเวลาเหล่านั้นผมรอการติดต่อจากปิ่น แต่ก็ดังถ้อยคำในแผ่นกระดาษที่เธอยื่นให้ผมในความฝัน ตลอดเวลานั้นสิ่งที่ผมได้รับจากปิ่นมีเพียง “ความเงียบ” เท่านั้นเอง

 

ร่างกายของมนุษย์เป็นของแปลก ในยามปกติเราอาจไม่เคยแลเห็นศักยภาพของมัน แต่ในยามทุกข์ทน มันกลับแสดงออกถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของมันอย่างเหลือเชื่อ ผมเฝ้ารอให้ผมสิ้นสติ ป่วยหนักเจียนตาย จนมีใครสักคนภายในบ้านนำผมส่งโรงพยาบาลในอาการวิกฤต ผมเฝ้ารอให้ตนเองอยู่ในสภาพผู้ป่วยที่ใกล้ตายและมีปิ่นนั่งอยู่เคียงข้างผม

บัดนี้ผมรู้แล้วว่าผมกำลังฉายเงาภาพไปสู่การแสดงละครในหลายปีก่อน เพียงแต่ผมเปลี่ยนสถานภาพจากผู้เขียนบทมาสู่ผู้เล่นบทเหล่านั้นแทน ผมไม่อาจลืมภาพของปิ่นที่นั่งเคียงข้างชายชราผู้ที่กำลังจะจากโลกนี้ไป ผมต้องการให้ภาพนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งโดยมีผมเป็นคนกุมมือของเธอ

แม้กระนั้นความป่วยไข้ทางใจอย่างสุดแสนก็ยังนำพาบางสิ่งที่น่าอภิรมย์มาให้ผมได้

เช้าวันหนึ่งหลังจากที่ผมอาเจียนจนแทบไม่เหลืออะไรในตัว ผมก็นึกถึงนวนิยายเล่มหนึ่งของฌอง ปอล ซาร์ตร์ ที่ผมหยิบยืมมาจากห้องสมุด ผมควานหานวนิยายเล่มนั้นไปทั่วห้องก่อนจะพบมันถูกทับอยู่ท่ามกลางกองหนังสือที่ล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย

นวนิยายฉบับที่ผมมีนั้นหน้าปกเป็นภาพวาดแนวเหนือจริงของซัลวาดอร์ ดาลี ศิลปินชาวสเปน ชื่อหนังสือแปลได้ว่าความคลื่นเหียนอาเจียน หรือ Nausea มันเป็นเรื่องราวของชายที่ปลีกตัวไปทำงานค้นคว้าเพียงลำพังเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เมืองท่าริมทะเล ในตอนแรก ความโดดเดี่ยวดูจะทำให้เขาทำงานได้อย่างสงบ

แต่แล้วความโดดเดี่ยวนั้นเองกลับทำให้เขารู้สึกแปลกแยกจากโลกและผู้คนรอบๆ มากขึ้นทุกขณะ

เขารู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจจนแทบคลื่นเหียรอาเจียนต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว

สภาพของเขาตอนนั้นแม้แต่คนรักของเขาก็ยืนยันที่จะจากเขาไป

 

ความโดดเดี่ยวดังกล่าวเป็นดังจุดเริ่มของปรัชญาที่แสวงหาการดำรงอยู่ของมนุษย์อันเป็นปรัชญาที่ซาร์ตร์ให้ความสนใจอย่างยิ่ง

ผมอ่านนวนิยายเรื่องดังกล่าวตลอดเวลากลางวันแทบทุกวันนับจากนั้น ผมจินตนาการเป็นตัวละครที่แสวงหาบางสิ่งที่มีเป้าหมายต่อชีวิตโดยการเอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพัน ในการล้มลงหรือพินาศลงของผมจะต้องเป็นไปในโรงพยาบาลที่ทุกคนจะตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใด ปิ่นจะมาเยี่ยมผมและในนาทีนั้นเองที่ผมตัดสินใจจะบอกความรู้สึกของตนเองต่อเธอ

ความพยายามของผมเป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมปรากฏตัวขึ้นที่โรงพยาบาลแต่ไม่ใช่ในฐานะผู้ป่วย ผมไปที่นั่นในฐานะของใครบางคนที่กำลังเป็นประจักษ์พยานในการจากโลกนี้ไปของแม่ปิ่น

แม่ของปิ่นป่วยหนักมากโดยที่ผมไม่ล่วงรู้มาก่อน ในขณะที่ผมกำลังจมอยู่กับความเจ็บปวดและความเมามายของตนเอง ปิ่นกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของแม่ในโรงพยาบาล

ช่วงเวลานั้นเธอต้องการกำลังใจจากผม ช่วงเวลานั้นเธอต้องการผมเป็นที่สุด ทว่าช่วงเวลานั้นเองผมกลับจมอยู่กับขวดเหล้าและจินตนาการอันไร้สาระใดๆ

เพื่อนของปิ่นคนหนึ่งเป็นคนโทรศัพท์มาที่บ้านของผมในคืนหนึ่ง เธอฝากข้อความไว้กับพ่อของผมว่าหากผมมีเวลาขอให้ไปพบปิ่นที่โรงพยาบาลริมน้ำด้วย

ปิ่นเองนั้นไม่อยู่สภาพที่จะติดต่อใครหรืออธิบายอะไรได้ แต่หากผมไปที่นั่นผมจะทราบทุกอย่างเอง

หลังรับข้อความจากพ่อในคืนนั้น ผมโยนขวดเหล้าที่เหลืออยู่ทิ้งไป เปิดน้ำอุ่นสาดใส่ตัวจนชุ่มโชก ผมเข้านอนแต่หัวค่ำในวันนั้นหลังการอาบน้ำสองถึงสามรอบเพื่อไล่กลิ่นอายอันน่ารังเกียจในตัว เช้าวันรุ่งขึ้นผมชำระร่างกายอีกครั้ง ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ เรียกรถรับจ้างไปที่โรงพยาบาล ผมขึ้นลิฟต์โดยสารไปตามข้อความที่ได้รับมา เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกผมเดินเข้าไปในโถงห้องพักของผู้ป่วย แจ้งชื่อผู้ป่วย นางพยาบาลที่ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้นชี้ประตูห้องห้องหนึ่ง

ผมเปิดประตูนั้นเข้าไป มีเตียงผู้ป่วยหนึ่งเตียงอยู่ในนั้น บนเตียงมีหญิงวัยกลางคนที่ร่างกายซูบซีด

ข้างเตียงมีชายผู้ไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรกับผมและปิ่นที่กำลังจับมือหญิงวัยกลางคนผู้นั้น •