10 เมืองน่าเที่ยวยุค ‘โควิด’ / สิ่งแวดล้อม : ทวีศักดิ์ บุตรตัน

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

สิ่งแวดล้อม

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]

 

10 เมืองน่าเที่ยวยุค ‘โควิด’

 

สถานการณ์โลกในยุคโควิด-19 ระบาด ณ วันนี้ ถ้าไม่นับประเทศจีนที่ใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” เข้าไปด้วย แทบทุกประเทศต่างเล็งเปิดบ้านเปิดเมืองให้นักท่องเที่ยว นักธุรกิจ นักเรียนนักศึกษาเข้าไปอย่างไร้เงื่อนไข

เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าการล็อกดาวน์ปิดเมือง ผู้คนมีแต่เหี่ยวเฉา เศรษฐกิจพังยับ เชื้อไวรัสก็ขจัดไม่หมด มิหนำซ้ำยังกลายพันธุ์ขย้ำคนป่วย มาตรการ “คนอยู่ร่วมกับโควิด” คือทางเลือกดีที่สุด

ส่วนชาวโลกที่ฉีดวัคซีนครบโดสรู้สึกอึดอัดกับมาตรการล็อกดาวน์เต็มกลืน อยากออกจากบ้านไปสังสรรค์เฮฮาดื่มกิน

เปิดหูเปิดตาเดินทางท่องเที่ยวกันแล้ว

 

พูดถึงการท่องเที่ยว หลังโควิดระบาด ทัศนคติของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปมาก ก่อนปี 2562 นักท่องเที่ยวยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา มักจะนึกถึงเอเชียเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร

แต่ในผลสำรวจ “ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กลับพบว่าจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวอยากไป กลับเป็นเมืองในยุโรป 8 เมืองจาก 10 อันดับแรก

กรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ได้รับการเลือกให้เป็นเมืองน่าเที่ยวมากสุดจากผลสำรวจของยูโรมอนิเตอร์ฯ ด้วยเหตุผลเป็นเมืองที่มีจุดท่องเที่ยวมากมาย มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน

ถึงกระนั้นก็ยังสงสัยว่าทำไมนักท่องเที่ยวทั่วโลกจึงอยากไปปารีส ทั้งที่ฝรั่งเศสเจอวิกฤตโควิดหนักๆ จังๆ มาตั้งแต่แรก มีผู้เสียชีวิตจากโควิดรวมแล้วราว 140,000 คน ตัวเลขคนติดเชื้อเฉลี่ยแต่ละวันยังสูงถึง 4 หมื่นกว่าราย หรือว่านักท่องเที่ยวทั้งโลกเลิกกลัวโควิด ขอเพียงให้ได้สัมผัส “ปารีส” สักครั้งก่อนตาย?

“ดูไบ” กลายเป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 2 ของยูโรมอนิเตอร์ฯ ทั้งที่ไม่มีจุดท่องเที่ยวมากนัก หรืออาจจะเป็นเพราะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูแลระบบสาธารณสุขเป็นอย่างดี อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดสูงมากเฉพาะที่ดูไบ มีประชากรถึง 98 เปอร์เซ็นต์ฉีดวัคซีนแล้ว และรัฐบาลยังบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยในอาคารสาธารณะ

“อัมสเตอร์ดัม” เมืองเล็กๆ ของเนเธอร์แลนด์ที่มีสีสันมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ซึ่งนักท่องเที่ยวเลือกให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 3 จากผลสำรวจยูโรมอนิเตอร์ฯ ปี 2564

ผู้บริหารเมืองอัมสเตอร์ดัม ปรับโฉมหน้าเมืองใหม่ด้วยโครงการ “ตาสาธารณะ” (Public Eye) ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอเข้ามาช่วยจัดการบริหารการท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวเดินชมเมืองได้ไหลลื่น แถมยังพัฒนาเส้นทาง “ไบก์เลน” และการขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ยกระดับความเป็นเมืองน่าอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

แต่นักท่องเที่ยวที่อยากไปเยือนอัมสเตอร์ดัมต้องทำใจกับการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นที่สูงมาก มากกว่ากรุงเบอร์ลิน เยอรมนี หรือกรุงโรม อิตาลี เช่น ค่าห้องพัก บวกแวต 7% แล้วยังเก็บค่าภาษีท่องเที่ยวอีก 3 ยูโรต่อคน หรือถ้านั่งเรือชมวิวตามลำคลอง จะมีค่าภาษีเอ็นเตอร์เทนต์บวกอีก 1.5 ยูโร

ภาษีที่เก็บเพิ่มจากนักท่องเที่ยว ผู้บริหารเมืองอัมสเตอร์ดัมบอกว่า เป็นค่าชมความงามของเมือง และจะนำเงินก้อนนี้ไปบำรุงรักษาให้เมืองสวยสะอาด น่าอยู่และปลอดภัยมากที่สุด

กรุงมาดริด แห่งสเปน ติดอันดับ 4 ของผลสำรวจยูโรมอนิเตอร์ฯ นักท่องเที่ยวชื่นชมที่สเปนดูแลรักษาและพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

สอดรับการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวสร้างความพึงพอใจให้แก่นักท่องเที่ยว

 

อันดับ 5 กรุงโรม เมืองหลวงแห่งอิตาลีที่มีชื่อเสียงก้องโลก ในฐานะเมืองแห่งศิลปะ ประติมากรรมของโลก มีจุดท่องเที่ยวมากมายให้ดูไม่รู้เบื่อ

แหล่งท่องเที่ยวอย่างสนามกีฬากลางแจ้ง “โคลิเซียม” สร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 วันนี้ ได้รับการบูรณะจนเกือบเสร็จสมบูรณ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูชั้นใต้ดินในอดีตทหารโรมันใช้คุมขังบรรดากลาดิเอเตอร์ หรือพวกทาสและห้องขังเสือสิงโต ก่อนปล่อยออกมาสู้รบบนลานโคลิเซียมให้ชาวโรมันเชียร์กันอย่างสะใจ

กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงแห่งเยอรมนีที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองน่าอยู่เมืองหนึ่งของโลก เวลานี้ชาวเบอร์ลินรวมพลังเสนอให้รัฐบาลยกเลิกใช้รถยนต์ส่วนตัวในใจกลางเมือง เป็นรัศมีกว้างใหญ่ เรียกกันว่า “เบอร์ลิน ริงบาห์น” เว้นเฉพาะรถพยาบาลฉุกเฉิน รถขนขยะ แท็กซี่และรถส่งของเท่านั้น เพื่อให้ผู้คนได้เดินออกกำลังกาย ขี่จักรยานได้อย่างปลอดภัย ให้เด็กได้วิ่งเล่นและเพื่ออากาศสะอาด

มหานครนิวยอร์ก สหรัฐ ได้รับเลือกจากยูโรมอนิเตอร์ฯ ให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 7 อาจจะเป็นเพราะนิวยอร์กเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีตึกใหญ่โต มีสิ่งบันเทิงนานาชนิด โรงละครบรอดเวย์ที่จัดโชว์มากว่า 80 ปี มีสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์กอยู่กลางเมือง รายล้อมไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ศูนย์ศิลปะและแหล่งรวมอาหารจากทั่วทุกมุมโลก

เมื่อเร็วๆ นี้ นายอีริก อดัมส์ นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก คนล่าสุดเพิ่งประกาศจะใช้เงิน 900 ล้านเหรียญสหรัฐลงทุนปรับปรุงนิวยอร์กให้เป็นเมืองปลอดภัย เป็นเมืองน่าอยู่และเป็นเมืองที่มีความเขียวมากที่สุด

“อดัมส์” วางผังปรับปรุงทางเท้าข้างถนน 150 สายให้ผู้คนได้เดินสะดวก คนปั่นจักรยานก็ร่วมใช้ด้วย และเปิดถนนปลอดรถในหลายๆ จุดทั่วนิวยอร์ก ห้ามรถยนต์ ให้คนเดินและปั่นเท่านั้น

กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อยู่ในลำดับ 8 ของเมืองน่าเที่ยว กรุงลอนดอนมีความยิ่งใหญ่ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปกรรม พลังทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

ใครเป็นนักท่องเที่ยวต้องไม่พลาด เฉพาะพิพิธภัณฑ์ที่ให้เราเรียนรู้ก็มีมากกว่า 170 แห่ง ยังมีสวนสาธารณะใหญ่เล็ก 3,000 แห่งให้เดินเล่นสัมผัสธรรมชาติ

 

“มิวนิก” เมืองใหญ่ในแคว้นบาวาเรียของเยอรมนีที่ได้รับเลือกลำดับที่ 9 ให้เป็นเมืองน่าเที่ยวจากยูโรมอนิเตอร์ฯ เมืองนี้เป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรม ความก้าวหน้าทางวิทยาการแห่งหนึ่งของโลก มิวนิกมีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกดูถึง 80 แห่ง มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่

ชาวเมืองร่วมกันอนุรักษ์ปกป้อง “มิวนิก” ให้เป็นเมืองน่าอยู่และคงสภาพเดิมไว้ ด้วยการลงมติห้ามก่อสร้างอาคารใหม่ในใจกลางมิวนิกสูงเกินกว่า 100 เมตร เพราะหากสูงกว่านั้นจะบดบังสภาพแวดล้อมและทัศนียภาพอันสวยงาม

บาร์เซโลนา อีกเมืองของสเปนที่ได้รับเลือกให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 10 เมืองนี้มีความงดงามทางศิลปะ สถาปัตยกรรม ย้อนยุคไปถึงสมัยโรมันเมื่อ 2 พันปีก่อน ตึกที่โรมันสร้างไว้ยังมีให้เห็น โบสถ์วิหารหลายแห่งได้รับการสรรสร้างสอย่างสวยงามอลังการ อย่างเช่น วิหารซากราดา ฟามิเลีย ผลงานของสถาปนิก “อันโตนิ เกาดี้”

ก่อนนี้บาร์เซโลนามีปัญหาเรื่องของมลพิษทางอากาศ เนื่องจากมีการจราจรติดขัด ผู้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมาก กระทั่งในปี 2543 ชาวเมืองเลือกนางเอด้า โคลา บัลลาโน เป็นนายกเทศมนตรี เมืองบาร์เซโลนาเปลี่ยนโฉมใหม่ พื้นที่ในใจกลางเมืองกำหนดให้เป็นเขตคนเดิน และทางจักรยาน รถยนต์วิ่งในความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นในถนนสายต่างๆ ทั่วบาร์เซโลนา

แต่ที่น่าแปลกใจในผลสำรวจของยูโรมอนิเตอร์ฯ ไม่มีชื่อ “กรุงเทพมหานคร” ใน 20 อันดับแรกของเมืองน่าเที่ยวหลังยุคโควิด หรือเป็นเพราะว่า กทม.วันนี้ห่อหุ้มไปด้วยมลพิษจนผู้คนทั่วโลกเมินหน้าหนี? •