พระสมเด็จแก้วสุทธิ พระเทพสาครมุนี (แก้ว) วัดช่องลม ท่าฉลอม / โฟกัสพระเครื่อง : โคมคำ

โฟกัสพระเครื่อง

โคมคำ

[email protected]

 

พระสมเด็จแก้วสุทธิ

พระเทพสาครมุนี (แก้ว)

วัดช่องลม ท่าฉลอม

 

“พระเทพสาครมุนี” หรือ “หลวงพ่อแก้ว สุวัณณโชโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธิวาตวราราม ต.ท่าฉลอม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร

สร้างวัตถุมงคลและเครื่อรางของขลังเอาไว้หลายรุ่น ล้วนได้รับความนิยม นำไปคล้องคอติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคล

แต่ที่นิยมเป็นอย่างสูง คือ “พระสมเด็จแก้วสุทธิ” วัดช่องลมสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2513

ที่ตั้งใจสร้างให้ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปไว้ใช้ติดตัวเพื่อเป็นสิริมงคล โดยผงที่มาเป็นส่วนประกอบหลัก เป็นผงปถมังและผงอิทธิเจ ที่เตรียมและปลุกเสกตลอดมาเป็นเวลาถึง 3 ปี รวมถึงดิน ทอง ดอกไม้ ว่าน 108 และแร่จากจังหวัดต่างๆ อันมีในเมืองนครปฐม เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา

แบ่งออกเป็นพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก จัดสร้างรวมกันทั้งหมด 50,000 องค์

ลักษณะแบบพิมพ์ทรงในรูปสี่เหลี่ยม

ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งปางสมาธิบนฐานชุกชี รองด้วยผ้าทิพย์ มีซุ้มระฆังครอบองค์พระสวยงาม

ด้านหลัง มีอักขระยันต์อุณาโลมอยู่ในซุ้มปราสาทสวยงาม ใต้ปราสาทมีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “แก้วสุทธิ”

ปัจจุบันค่อนข้างหาได้ยาก เนื่องจากเป็นพระผงพุทธคุณรุ่นแรก ผู้ที่นำไปบูชาแล้วได้รับประสบการณ์มากมาย

หลวงพ่อแก้ว สุวัณณโชโต

มีนามเดิม แก้ว ธนสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2446 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 2 ปีเถาะ เวลา 21.00 น. ที่ ต.กระสัง อ.กระสัง จ.พระตะบอง ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นอาณาจักรของประเทศไทย บิดา-มารดาชื่อนายกัน และนางวงษ์ ธนสุวรรณ

เมื่ออายุ 12 ปี บรรพชาที่วัดจำบกมาศ อ.กระสัง จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2458 เพื่อศึกษาเล่าเรียนชั้นสามัญ จนท่านมีความรู้อ่าน-เขียนภาษาไทย และภาษาขอมเป็นอย่างดียิ่ง

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2466 ที่พัทธสีมาวัดจำบกมาศ อ.กระสัง จ.พระตะบอง มีพระปัญญาสุธรรม เจ้าอาวาสวัดจำบกมาศ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เผือก พรหมสโร วัดกระสัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เกตุ วัดชำนิหัตถการ กรุงเทพฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สุวัณณโชโต

อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดจำบกมาศ ช่วงหนึ่งจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อ

พ.ศ.2480 สอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

พ.ศ.2481 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค

 

ลําดับงานปกครอง

พ.ศ.2482 เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พ.ศ.2488 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดคลองตันราษฎร์บำรุง

พ.ศ.2489 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2495 เจ้าอาวาสวัดช่องลม หรือวัดสุทธิวาตวราราม จ.สมุทรสาคร ว่างลง คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส และในปีเดียวกัน ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาครด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

พัฒนาวัดช่องลม สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซุ้มประตูหน้าวัด ศาลาท่าน้ำ และพระอุโบสถหลังใหม่

สร้างวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ เพื่อมอบให้ชาวสมุทรสาคร ที่ร่วมบริจาคเงินในการก่อสร้างทั้งหมด โดยไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการ

ให้ความสำคัญกับการศึกษาของกุลบุตรและกุลธิดาของชาวบ้านในพื้นที่ จึงส่งเสริมและเป็นผู้อุปการะโรงเรียนเทศบาลวัดช่องลม (เปี่ยมวิทยาคม) ด้วยการจัดตั้งทุนการศึกษาประจำสำนักเรียน จัดส่งนักเรียนไปศึกษาต่อเพิ่มเติม จัดพิมพ์หลักสูตรทั้งบาลีและนักธรรมใช้ในสำนักเรียน ซึ่งหลักสูตรที่แพร่หลาย คือ หลักสูตรย่อนักธรรมตรี

นอกจากนี้ ยังบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ สร้างสะพานสาครบุรี สร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างตำบลท่าจีน-ตำบลบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

สร้างสถานีตำรวจภูธรชั่วคราว และโครงการสร้างสถานีอนามัย ต.ท่าฉลอม เป็นผู้อุปถัมภ์ในการปรับปรุงวัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นผู้วางแผนผังการก่อสร้างวัดบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

คุณงามความดีในการพัฒนาวัด ตลอดจนเสนาสนะอย่างต่อเนื่อง จนมีเจ้าอาวาสวัดต่างๆ เดินทางมาดูตัวอย่างการก่อสร้างที่วัดอยู่เสมอๆ

พระสมเด็จแก้วสุทธิ

ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินทรงทอดพระกฐินต้น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2508

โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถ พระราชทานฉัตรขาว 9 ชั้น ตั้งสองข้างพระประธาน และพระราชทานนามวัดช่องลมให้ใหม่ว่า “วัดสุทธิวาตวราราม”

หลวงพ่อแก้วเคยเล่าว่า ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินวัดช่องลมเป็นการส่วนพระองค์หลายครั้ง มีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อจนพลบค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ หลังจากนั้นวัดช่องลมเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวไทยทั้งประเทศ กรมการศาสนายกวัดช่องลมเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่นของประเทศไทย

ปกครองวัดเรื่อยมา กรำงานหนักมาตลอดชีวิต เริ่มเจ็บป่วยอาพาธ กระทั่งมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อตอนเช้าตรู่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2526 เวลา 04.45 น.

สิริอายุ 79 ปี พรรษา 59 •