ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ
ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
Anselm Kiefer
ศิลปินผู้สำรวจประวัติศาสตร์อันมืดมนของสังคม
ด้วยฝีแปรงหยาบกระด้างทรงพลัง
และวัตถุแปลกแหวกขนบ
ตอนนี้ขอพักจากการนำเสนอนิทรรศการ มาเล่าเรื่องราวของศิลปินร่วมสมัยกันบ้าง
ศิลปินผู้นี้เป็นศิลปินร่วมสมัยคนสำคัญของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้กำลังมีนิทรรศการแสดงอยู่ในช่วงนี้ เขามีชื่อว่า แอนเซล์ม คีเฟอร์ (Anselm Kiefer) จิตรกรและประติมากรชาวเยอรมัน ผู้เป็นที่รู้จักจากผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์เยอรมัน และตำนานปรัมปรา, ทั้งตำนานเทพปกรณัมนอร์สของยุโรปเหนือ หรือโอเปราของอุปรากรชาวเยอรมัน ริชชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner)
เขามักจะสร้างผลงานขนาดใหญ่มหึมาที่แฝงรหัสหรือสัญลักษณ์บอกใบ้ถึงบุคคล, เหตุการณ์, หรือสถานที่อันเป็นตำนานในประวัติศาสตร์
คีเฟอร์ใช้ผลงานของเขาสำรวจ, ขุดคุ้ยอดีต เพื่อตีแผ่ประเด็นอันอื้อฉาวที่ถูกซ่อนเร้นในประวัติศาสตร์, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอัปยศจากเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพรรคนาซีเยอรมนี, ด้วยความพยายามที่จะหยิบเอาประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนาซีให้กลับมาเป็นประเด็นโต้เถียงระดับชาติ
เพื่อให้ชาวเยอรมันในยุคปัจจุบันกลับมารับมือกับอดีตอันมืดมนของตัวเอง ในยุคสมัยที่การรับรู้หรือพูดถึงนาซีเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในสังคม
ภาพวาดของคีเฟอร์ผสมผสานการใช้สีหนาหนักและฝีแปรงอันรุนแรง เข้ากับวัตถุสิ่งของ อันแปลกแหวกขนบการทำงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นฟางข้าว, ดอกไม้แห้ง, กิ่งไม้, รากไม้, ขี้เถ้า, ดิน, เศษแก้ว ฯลฯ เพื่อสื่อถึงเวลาและวิถีชีวิต, ความตายและความเสื่อมสลาย
หรือแม้แต่ตะกั่ว อันเป็นวัตถุพื้นฐานที่ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุ และยังเป็นวัสดุที่คีเฟอร์คิดว่ามีน้ำหนักพอที่จะแบกรับภาระแห่งประวัติศาสตร์เอาไว้ได้
วัตถุเหล่านี้ต่างเป็นตัวแทนที่สื่อถึงแง่มุมอันแตกต่างหลากหลายทางประวัติศาสตร์ และตำนานปรัมปราต่างๆ ของเยอรมัน และหลายประเทศในยุโรป
ด้วยความสนใจในประวัติศาสตร์, ตำนานปรัมปรา และองค์ความรู้ต่างๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่คีเฟอร์มักใช้หนังสือ เป็นหัวข้อหลักของเขาในการนำเสนอเกี่ยวกับอารยธรรมและความรู้ต่างๆ รอบตัว, เขายังมักใช้ตัวหนังสือประกอบในภาพวาดของเขา ทั้งข้อความที่หยิบฉวยมาจากบทกวี, นวนิยาย และคำขวัญประจำชาติ เช่นเดียวกับชื่อของบุคคลสำคัญต่างๆ ที่เขียนด้วยลายมือ
องค์ประกอบทางศิลปะในภาพวาดหรือประติมากรรมของคีเฟอร์ ครอบคลุมรูปแบบและเนื้อหาอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานการใช้ภาพแทนและลวดลายเชิงสัญลักษณ์
การใช้เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางรหัสยศาสตร์ (ศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ)
การสอดแทรกรายละเอียดของสถาปัตยกรรมภายในและทิวทัศน์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกและสร้างผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ชม
รายละเอียดเหล่านี้ บ้างก็มีที่มาจากมุมมองทางประวัติศาตร์ของเยอรมันในอดีต เช่น ภาพของป่าไม้ที่ทำให้หวนรำลึกถึงสงครามอันโหดร้าย
หรือได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายเก่าแก่ อย่างเช่น เทพนิยายกริมม์ เป็นต้น
แอนเซล์ม คีเฟอร์ เกิดในปี 1945 ที่เมืองโดเนาเอชินเกน (Donaueschingen) ประเทศเยอรมนี ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะยุติ
การเติบโตในครอบครัวของครูสอนศิลปะ ทำให้เขามีความหลงใหลในศิลปะตั้งแต่เด็ก
แต่ในช่วงวัยรุ่นเขากลับหันไปศึกษาทางด้านกฎหมายและภาษาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง, ก่อนที่จะหวนกลับมาเล่าเรียนศิลปะในสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งเมืองคาลส์รูเออ (Staatliche Akademie der Bildenden K?nste Karlsruhe) กับศิลปินเยอรมันผู้ทรงอิทธิพลอย่างพีเทอร์ ดรีเฮอร์ (Peter Dreher) ในช่วงปลายยุค 60s
เขายังใช้เวลาในช่วงนี้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป รวมถึงในสหรัฐอเมริกาและตะวันออกไกลในภายหลัง
คีเฟอร์เป็นหนึ่งในชาวเยอรมันรุ่นที่มีความรู้สึกอัปยศอดสูและรู้สึกผิดบาปต่อเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพรรคนาซีเยอรมนี (ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็แทบจะเกิดไม่ทันเหตุการณ์ที่ว่านี้ด้วยซ้ำ)
เขากล่าวว่า การจงใจหลีกเลี่ยงการถกเถียงหรือพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองในสถานศึกษาของเยอรมัน กลายเป็นแรงผลักดันทางความคิดสร้างสรรค์ให้เขาอย่างมาก
เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการทำงานภาพถ่ายในชุดที่มีชื่อว่า Occupations (1969) ที่มีความอื้อฉาวอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่มันตีแผ่อดีตของนาซีเยอรมันอย่างจะแจ้งตรงไปตรงมา
ในช่วงปี 1970 คีเฟอร์ย้ายไปที่เมืองดึสเซิลดอร์ฟ (D?sseldorf) และเข้าศึกษาที่สถาบันศิลปะดึสเซิลดอร์ฟ
ที่นั่น เขากลายเป็นเพื่อนกับศิลปินผู้ทรงอิทธิพลอีกคนอย่างโจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys) ผู้มีอิทธิพลต่อเขาอย่างมากในฐานะที่ปรึกษาและครูกลายๆ
บอยส์ประทับใจในความจิกกัดเสียดสีอดีตอันมืดมนของชาติตนเองในงานของคีเฟอร์, เขาจึงผลักดันให้ศิลปินรุ่นน้องหันเหจากการทำงานภาพถ่ายมาทำงานจิตรกรรมแทน
จนคีเฟอร์หันมาพัฒนาสไตล์การทำงานของตัวเองด้วยการใช้ภาษาภาพแทน
การใช้ทิวทัศน์และสถาปัตยกรรมภายใน ที่สำรวจประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และตำนานปรัมปราของเยอรมันผ่านภาพวาดฝีแปรงหยาบกระด้างหนาเตอะ (Impasto) ที่ได้แรงบันดาลใจจากจิตรกรชาวดัตช์ผู้ยิ่งใหญ่ วินเซนต์ แวน โก๊ะ และจิตรกรระดับตำนานชาวออสเตรีย ออสการ์ โคคอชกา (Oskar Kokoschka)
ภาพวาดเหล่านี้ของคีเฟอร์ มองเผินๆ เหมือนเป็นแค่ภาพทิวทัศน์ทุ่งหญ้าในชนบทของเยอรมนี แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นถึงสิ่งแฝงเร้นเอาไว้ภายใน ทั้งภาพของสุสานอันรกร้างกว้างไกล หรือค่ายกักกันมาณะของนาซีเยอรมัน
ศิลปินอีกคนที่มีอิทธิพลต่อคีเฟอร์อย่างมาก คือ เกออก เบซิลลิสต์ (Georg Baselitz) จิตรกรชาวเยอรมันในกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะแบบ นีโอ-เอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ (Neo-Expressionism) ที่นอกจากจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาและผู้สนับสนุนผลงานของคีเฟอร์แล้ว ยังเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาด้วย
ส่งผลให้คีเฟอร์หันมาทำงานในแนวทางนีโอ-เอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์เช่นกัน
ด้วยแนวทางนี้นี่เองที่ทำให้ชื่อเสียงของคีเฟอร์พุ่งทะยานโดดเด่นในช่วงปลายยุค 1970s และ 1980s และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เขายังได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของประเทศเยอรมนี ร่วมแสดงในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ร่วมกับเบซิลลิสต์ ในปี 1980 อีกด้วย
การบุกเบิกการใช้วัตถุข้าวของรอบตัวทั่วไปที่ไม่ค่อยถูกใช้ทำงานศิลปะมาผสมผสานในภาพวาด, หรือการผสมผสานความเป็นสามมิติแบบประติมากรรมลงในงานสองมิติอย่างงานจิตรกรรม, การทับซ้อนผืนผ้าใบหลายๆ ชั้น ของคีเฟอร์ ส่งแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลังๆ กล้าทดลองใช้วัสดุเพื่อขยายขอบเขตในการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นศิลปินอย่างจางหวน (Zhang Huan) และแดน โคลเน (Dan Colen)
หรือการใช้องค์ประกอบอันหนาแน่นและหัวข้ออันเข้มข้นทรงพลังของเขาก็ส่งอิทธิพลให้ศิลปินรุ่นหลังๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับประเด็นของสงคราม, ความทรงจำ และการสูญเสีย ทั้งจิตรกรอย่างวิลเลียม เคนทริจด์ (William Kentridge), สตีเฟน บาร์เคลย์ (Stephen Barclay), คริสโตเฟอร์ บรามแฮม (Christopher Bramham)
หรือศิลปินภาพถ่ายอย่างโซอี้ สเตราส์ (Zoe Strauss) และศิลปินศิลปะจัดวางอย่างคริสเตียง โบลตองสกี้ (Christian Boltanski)
นอกจากการยืนอยู่บนเส้นแบ่งพรมแดนระหวางศิลปะนามธรรมและศิลปะรูปลักษณ์แล้ว คีเฟอร์ยังใช้ความเป็นกวีและรูปแบบทางจิตวิทยาในการถ่ายทอดประเด็นทางสังคมและการเมืองอันเข้มข้น เพื่อทำลายสุนทรีศาสตร์อันแห้งแล้งเย็นชาของศิลปะมินิมอลลิสม์และคอนเซ็ปช่วลอาร์ต
เขานำพาชีวิตหวนกลับคืนสู่งานจิตรกรรมที่เคยถูกปรามาสว่าตายไปแล้วจากโลกศิลปะ
คีเฟอร์และเพื่อนศิลปินร่วมยุคสมัยอย่างเกออก เบซิลลิสต์, ซิกมา โพสเคอ (Sigmar Polke) และแกร์ฮาร์ด ริตช์เตอร์ (Gerhard Richter) ประสบความสำเร็จในการผลักให้สังคมเยอรมันร่วมสมัยลุกขึ้นมาเผชิญหน้าและถกเถียงเกี่ยวกับอดีตอันอัปยศสยดสยองของประเทศตัวเองได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด คีเฟอร์ได้รับเชิญให้ร่วมแสดงผลงานในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 59 ในปี 2022 กับผลงาน Questi scritti, quando verranno bruciati, daranno finalmente un po’ di luce (These writings, when burned, will finally cast a little light, 2022) ที่จัดแสดงภายในพระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล (Palazzo Ducale) อาคารประวัติศาสตร์แบบกอธิคในจัตุรัสเซนต์มาร์ก เมืองเวนิส อิตาลี
คีเฟอร์ประดับประดา Sala dello Scrutinio ห้องโถงใหญ่ในพระราชวัง ด้วยชุดผลงานจิตรกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปินอิตาเลียนชั้นครูแห่งยุคเรอเนสซองซ์อย่างทินโทเรตโต (Tintoretto) และอันเดรีย วิเซนติโน (Andrea Vicentino)
ผลงานภาพวาดขนาดยักษ์ที่ประกอบด้วยสังกะสี, ตะกั่ว, ทองคำแท้, เสื้อผ้า และชิ้นส่วนของรถเข็นช้อปปิ้ง หรือวัตถุอันแปลกประหลาดอื่นๆ บนฉากหลังไหม้เกรียมแตกระแหงในผืนผ้าใบขนาดมหึมา อย่างโลงศพอันว่างเปล่าของนักบุญมาร์กแห่งเวนิส, บันไดที่ดูราวกับจะปีนลงไปยังขุมนรก
ผลงานอันสั่นสะเทือนอารมณ์อย่างทรงพลังเหล่านี้ ช่างซ้อนทับกับภาพของสงครามยูเครนในปัจจุบันเหลือเกิน
ผลงานชุดนี้ของคีเฟอร์ถูกจัดแสดงในมหกรรมศิลปะเวนิส เบียนนาเล่ ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2565 จัดหนักจัดเต็มขนาดนี้
มิตรรักแฟนศิลปะทั้งหลายไม่ควรพลาดที่จะหาโอกาสไปชมอย่างยิ่ง จริงๆ อะไรจริง! •
ข้อมูล หนังสือ Anselm Kiefer : Transition from Cool to Warm โดยหอศิลป์ Gagosian, เว็บไซต์ https://bit.ly/3MwO04H, https://bit.ly/3KxbKVb, https://bit.ly/3vjCunz