ลาลับ / เรื่องสั้น : ขวัญเรียม จิตอารีย์

เรื่องสั้น

ขวัญเรียม จิตอารีย์

 

ลาลับ

 

1

มาถึงตั้งแต่เมื่อใดกัน กลุ่มก้อนระยิบพราวพวกนั้น ตาเธอฉายแววตื่นเต้น ฝีเท้าชะลอลงทันที มือขยับแว่นที่ขึ้นฝ้าด้วยไอน้ำจากลมหายใจหอบกระชั้น เธอยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะค่อยๆ เหยียบย่างเข้าไปริมบึงน้ำ แหวกพงหญ้าเข้าไปจนรู้สึกถึงพื้นที่ยุบลงใต้ฝ่าเท้าข้างหนึ่ง เธอถอยกลับ นึกถึงกอหญ้าสานกันขนัดแน่นใต้น้ำ ถ้าก้าวขาอีกข้างตามไป เธออาจค่อยๆ จมลง

พวกมันมาถึงก่อนลมหนาว มาจากที่ไหนสักแห่งราวกับนัดหมายสู่งานเลี้ยงยามค่ำ ต้นไม้ตายซากลดรูปเหลือเพียงกิ่งก้านสีดำ มันตัดกับฟ้าสีส้มแดงทั้งยังถูกแตะแต้มด้วยสีขาวทั่วทุกกิ่งก้าน เช่นเดียวกับพงอ้อกอหญ้าสีน้ำตาลรอบบึงด้านนั้น ภาพสะท้อนในบึงน้ำยิ่งเด่นชัดกว่าภาพความจริงเมื่อสีส้มแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ ความมืดเริ่มแทรกเงาตามพุ่มไม้พงหญ้าหนาทึบ ตามหลืบรูเรือนรังของหมู่แมลงและงูเงี้ยว เธอถอดหน้ากากออก คล้องมันไว้เหนือข้อศอกข้างหนึ่ง โน้มหญ้าคาใบแหลมที่ปาดบังภาพออกอย่างเบามือ เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นเมื่อนกแต่ละกลุ่มบินเข้ามาในอาณาเขตบึงน้ำ บ้างกางปีกโฉบฉวัดเฉวียนเป็นแถวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลงจับกิ่งก้าน แต้มดอกดวงสีขาวบนที่ว่างทึบแสง ไม่ขยับเคลื่อนย้ายเหมือนหยดสีที่ถูกสะบัดตกลงบนภาพ จากนั้นเสียงของยามค่ำจึงเงียบลงเมื่อเหลือแสงอยู่แค่ริมขอบฟ้า เสียงวิ่งเต็มฝีเท้าและลมหายใจหอบถี่ดังผ่านด้านหลังไป ไม่มีใครเห็นเธอที่ปลอมปนอย่างเงียบเชียบในภาพยามค่ำนั้น เธอค่อยๆ ออกมาสู่เส้นทางเดิมขณะไฟข้างทางกำลังฉายลำลงสู่พื้นถนนทีละดวง ทีละดวง

ฤดูกาลพาความเปลี่ยนแปลงมาด้วยเสมอ แสงตะวันฉายเฉียง เปลี่ยนมุมไปช้าๆ จนแทบไม่รู้สึกคล้ายเด็กน้อยเดินเล่นเรื่อยเปื่อยเป็นวงรอบบึงกว้าง ใบไม้ที่ฉีกให้เป็นใบพัดหมุนติ้วต้านลมยามวิ่งเปลี่ยนสี เมื่อเวียนมาบรรจบจุดเดิมอายุขัยของสรรพสิ่งก็เพิ่มขึ้นในทุกรอบ แต่งริ้วเพิ่มรอยบนผิวกาย เพิ่มวงปีบนเนื้อไม้ เพิ่มการผุกร่อนบนก้อนหิน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน เมื่อเปลี่ยนไปแล้วจะไม่เหมือนเดิม เหมือนตายแล้วไม่อาจตื่นฟื้น จากไปแล้วไม่อาจหวนกลับ ไปแล้วไปลับ นกฝูงนี้เป็นฝูงเดิมหรือไม่ อาจมีบางตัวที่ไม่ได้มาด้วย ขณะทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่าเท้าย่ำทางดิน เธอคิดถึงแต่เรื่องพวกนี้ คิดถึงนกที่ไม่ได้ร่วมเดินทาง มันอาจบาดเจ็บ แยกฝูง หรือตายไปแล้วก็ได้ เมื่อก่อนเธอชอบดูสารคดีสัตว์โลกแต่ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้ ถ้าหากเธอทำสารคดีเรื่องนกที่ไม่ได้เดินทางพร้อมฝูงคงน่าสนใจไม่น้อย เธอคิดพร้อมเสียงบรรยายที่ดังขึ้นในหัว เสียงนั้นกลายเป็นเธออีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนคุยพร้อมเสียงย่ำเท้า ความมืดกรุ่นเงาสีจางช่วยกลบฝุ่นที่คลุ้งขึ้นไม่ให้สีเข้มเกินไปนัก

เธอไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเพราะไม่มีคนอื่นร่วมทาง จังหวะวิ่งยังคงช้า สม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องรีบ เนินรออยู่ข้างหน้า เสียงบรรยายเงียบลง ความคิดหันเหไปสู่สิ่งอื่น

 

2

ที่ตรงนี้เคยเป็นลานดินโล่งเรียบ ก่อนดอกหญ้าจะปล่อยเมล็ดด้วยการกระจายของลมจนเต็มพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่นานมันก็กลายเป็นเหมือนสวนดอกไม้ขนาดย่อม ดอกเล็กๆ สีขาว มีผีเสื้อบินอยู่เหนือกระบะสี่เหลี่ยมที่ล้อมด้วยกำแพงทั้งสี่ด้าน บ้านรอบข้างคนคงยินดีที่มีสวนดอกไม้เงียบสงบให้ดูชม มันเริ่มกลายเป็นภาพชินตาขณะผ่าน ตลอดหนึ่งหรือสองเดือน เธอก็ไม่แน่ใจนัก มันอาจผ่านมาถึงสามเดือนแล้วก็ได้ เหมือนที่เราไม่รู้ถึงการเคลื่อนที่ของโลก องศาของแสงจากดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนไป ย้อนไปก่อนหน้านั้น ก่อนเมล็ดดอกหญ้าจะฝังลงดิน เป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน รถแบ๊กโฮได้ส่งเสียงครืดคราดโครมคราม มือเหล็กที่แข็งแกร่งของมันทุบผนังปูนลงทีละด้าน ทุบประตูและหน้าต่างลงทีละบาน ห้องน้ำ ระเบียงนั่งเล่น บันได ห้องหอพักสองชั้นขนาด 20 ห้อง และบ้านหลังเล็กอีก 10 กว่าหลังทลายลงอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ทั้งรถแบ๊กโฮและอดีตบ้านของบางคน ส่งเสียงกันตั้งแต่เช้ายันค่ำอยู่หลายวัน เมื่อเธอผ่านไปเห็นอีกครั้งก็เหลือเพียงลานดินโล่งเรียบ แม้แต่ต้นมะม่วงลำไยก็ถูกถอนออกไปทั้งหมด รวมทั้งชิงช้าของเด็กด้วย เธอคิดว่าเจ้าของอาจขายที่ผืนนี้ไปแล้วก็ได้ ก่อนหน้าที่หอพักบ้านเช่าแห่งนี้จะถูกปล่อยให้รกร้างจนหญ้าสูงท่วมหัว เธอคิดว่าเจ้าของอาจกำลังหาทุนมาปรับปรุงมันอยู่ ทุกอย่างเป็นการนึกคิดคาดเดาเอาเอง ไม่มีเหตุผลหรือข้อสันนิษฐานใดประกอบ จนมันกลายเป็นทุ่งดอกหญ้า มันอาจจะเป็นอย่างนี้อีกนาน หรืออีกไม่กี่วันนี้อาจมีรถแบ๊กโฮพร้อมคนงานเข้ามาทำอะไรบางอย่างอีกก็ได้ เธออยู่ในฐานะผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เรื่องอื่นใด เหมือนคนในหอพักที่คุ้นหน้าแต่ไม่เคยรู้จักทักทาย ถ้าใครย้ายออกก็แค่หายไปเท่านั้น หรืออาจไม่รู้ถึงการหายไปเลยด้วยซ้ำก็ได้

น่าจะมีบางคนที่ยังขนของไปไม่หมด เธอเปรยกับแฟนหนุ่มขณะขับรถผ่าน หอพักบ้านเช่าแห่งนั้นจากที่เคยมีเด็กเล่นใต้ต้นลำไย มีชิงช้าแกว่งไกว แม่ลูกอ่อนจูงลูกหิ้วถุงขนมมาจากร้านชำ รถคนงานที่มารับตอนเช้าและส่งกลับตอนค่ำ คู่หนุ่มสาวที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันเข้ามา แม่บ้านพ่อบ้านเดินหอบหิ้วของจากตลาดนัด ทั้งหมดเป็นแรงงานไทยใหญ่ น่าจะอยู่กันมาหลายปี เสียงฆ้องกลองเฮฮาเคยดังถึงเที่ยงคืนช่วงเทศกาลงานบุญ แล้วจู่ๆ ก็กลับกลายหายวับ แทบไม่เหลือร่องรอยของการอยู่อาศัย จะมีเหลืออยู่ก็เพียงหมวกกันน็อกเก่า ตะกร้าผ้าพลาสติก และหม้อหุงข้าวที่วางอยู่หลังห้องชั้นบนมุมซ้ายสุด หลังห้องอยู่ติดริมถนน เป็นภาพเดียวที่เห็นจากทางผ่าน ของสามสิ่งนี้ยังคงอยู่ทุกครั้ง เธอเฝ้ารอว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง คิดว่าหากเจ้าของได้ที่พักใหม่แล้วอาจจะกลับมาเอาไปก็ได้ พวกเขาหายไปที่ไหนกัน เธอยังคิดไม่ออก อาจเป็นที่ที่ไกลจากที่นี่ เพราะหอพักบ้านเช่าราคาถูกในย่านนี้ล้วนถูกจับจองด้วยแรงงานพลัดถิ่นที่อัดแน่นอยู่เต็มทุกตรอกซอกซอย กลิ่นถั่วเน่าแผ่นปิ้งไฟลอยมาแตะจมูกเป็นความคุ้นเคยหนึ่ง เธอซื้อข้าวแรมฟืนที่ตลาดนัดมาเก็บกินมื้อเช้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ตลาดนัดก็หายไปแล้ว พร้อมกับคนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่คนรู้จัก แต่ก็ทำให้ความคุ้นเคยทั้งหลายหายไปด้วย ในระยะเวลาเพียงแค่สองปีตั้งแต่โรคระบาดมาถึง

คนที่อยู่ตรงห้องมุมซ้ายสุด คนที่ทิ้งของไว้ น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม เธอเคยเห็นกางเกงยีนส์ตากที่ริมระเบียง เขาอาจทำงานก่อสร้าง เป็นลูกจ้างร้านอาหาร หรือร้านอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นคนไทยใหญ่ น่าจะเป็นเด็กหนุ่มผอมบาง สูงแค่ร้อยหกสิบกว่า เธอคาดเดาจากขนาดเสื้อผ้าที่ตากไว้ที่ระเบียงหลังห้อง เขาทำกับข้าวบ้าง ซื้อแกงถุงบ้าง ขับมอเตอร์ไซค์ที่ยังผ่อนอยู่ หน้าตาไม่ได้โดดเด่น อาจถูกเลือนหายไปโดยง่าย จินตนาการต่อเจ้าของหม้อหุงข้าวเพิ่มขึ้นจากภาพคุ้นเคยและการสำรวจอย่างไม่ตั้งใจก่อนหน้านี้ หลังจากใบไม้แห้งทับถมหนาขึ้นตรงกลางลาน ประตูหลังห้องหลายห้องเปิดค้างไว้ บานเกล็ดทึบฝุ่น หญ้าที่ไม่เคยได้มีโอกาสชูก้านแตกกิ่งค่อยๆ ยึดครองพื้นที่ เครือเถาเหนียวแน่นล็อกประตูรั้วไว้ ตะกร้าผ้าและหม้อหุงข้าวยังอยู่ที่เดิม มันอาจพังไปแล้วก็ได้ เธอคิดว่าเด็กหนุ่มคงทิ้งของพวกนี้แล้ว เขาคงไปมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่หายไป ไปกลืนหายในที่อื่น บางคนอาจกลับไปพม่าแล้วไม่ได้กลับมาก็ได้ ซ่อนตัว หลบหนี หรือล้มตาย มันอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้

แต่คนหนุ่มสาวล้มตายลงจริงๆ นะ ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหน เธออีกคนทักท้วง

3

แม้จะเป็นเนินเล็กๆ แต่เธอก็ต้องชะลอฝีเท้า ก้าวให้สั้นแต่ถี่ขึ้นทำให้ไม่เหนื่อยมาก เสียงพื้นรองเท้าบดกับกรวดทรายดังชัดเจนกว่าปกติ เหมือนโผล่ขึ้นมาจากหุบลึก บรรยากาศสว่างกว่าทางเบื้องหลังที่ปกคลุมด้วยสุมทุมพุ่มไม้ ตรงสนามหญ้าลาดต่ำจากเนินลงไป มีเต็นท์งานวัดตั้งอยู่สองหลัง เก้าอี้สีน้ำเงินวางเว้นระยะห่าง อีกส่วนซ้อนกันสูงพิงไว้ข้างมุมเสา มีโต๊ะยาวสีขาวตั้งไว้เต๊นท์ละสองตัว เส้นพลาสติกสีขาวแดงกั้นเขตห้ามเข้า กันอาณาบริเวณรอบเต็นท์ทั้งสองหลังและยาวไปจนถึงถนนสายหลักซึ่งเปิดช่องเป็นทางเข้า อีกฟากของถนนโครงสร้างอาคารสูงตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม เครนยกปั้นจั่นกางแขนสีดำค้างตั้งตระหง่าน ตาข่ายคลุมกันเศษวัสดุตกลงมานอกเขตพื้นที่ดูคล้ายผืนผ้าโปร่งบางคลุมกล่องขนาดมหึมาไว้ รั้วสังกะสีปิดทึบตลอดแนวถนน ทางเข้ามีป้อมยามเปิดไฟทิ้งไว้ แต่ไม่มีคนเฝ้า น่าจะเป็นอาคารหลังใหม่ของสถานีวิจัยเกษตร ที่นี่เป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัย มียามเฝ้าประตูทางเข้าออกทุกด้าน คนยามของพื้นที่ก่อสร้างคงไม่จำเป็นในห้วงยามเช่นนี้

พวกเขาเคยนั่งคอยอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ ยามเย็นใต้ร่มไม้ บ้างก็จับกลุ่มพูดคุยกันตรงลานหญ้า ที่ซึ่งเต็นท์ได้ตั้งอยู่ แว่วเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ชีวิตกำลังเล่าเรื่องใดสู่กันฟัง เธอนึกอยากรู้ทุกครั้งที่ผ่าน แสงสุดท้ายเช่นนี้ ใบหน้าพวกเขาจะถูกเคลือบด้วยสีทอง มันซึมซ่านลงไปบนเหงื่อไคลและรอยฝ้าบนใบหน้ากร้านแดดของหญิงชายวัยกลางคนที่ยังพอมีเรี่ยวแรงทำงานแบกหาม ในความเหน็ดเหนื่อยสายตายังฉายแววหวัง วูบกังวลเผยมาบ้างในบางครั้ง ใบหน้าเปิดเผยซื่อตรง บ้างจมดิ่งนิ่งนาน เธอคิดถึงเรื่องที่พวกเขากำลังคิดอยู่ และเป็นเธอที่คิดไปถึงใบหน้าของผู้คนของบ้านเกิด จริงใจใสซื่อ เสแสร้งน่าชัง เห็นแก่ตัวแต่ก็ไม่ถึงขั้นใจร้ายใจดำเกินไป ทุกอย่างล้วนปนเปอยู่ในนั้น หมู่บ้านครั้งยังเยาว์ หมู่บ้านที่ไกลห่างมานานและยากจะกลับไปในยามที่ความหวาดระแวงแทงเป็นรั้วกั้น เธอถอนใจ ความเยาว์วัยช่างวิเศษเธอเข้าใจมันแล้ว ดูสิ หนุ่มสาวแม้จะดูมอมแมมไปบ้าง แต่รอยยิ้มอย่างสุขปลั่ง เหมือนเด็กเปื้อนดินทรายจากการเล่นทั้งที่เป็นการงานอันเหนื่อยหนัก การเกี้ยวพาด้วยคำพูดและท่าทีบางอย่างปรากฏต่อสายตาผู้ชมเช่นเธอบ่อยครั้ง เป็นประกายระยิบเหนือยอดหญ้าที่พวกเขานั่งอยู่ ละอองฟุ้งฝุ่นฝัน ทำให้ยามนั้นงดงามกว่ายามอื่นเสมอ คู่ผัวหนุ่มเมียสาวซ้อนมอเตอร์ไซค์กันออกไป หญิงสาวถอดผ้าคลุมกันแดดออก ใบหน้ายังมีเค้าของเด็กช่างคุย ปากขยับพูดอะไรบางอย่างใกล้หูชายคนรัก จวบจนแสงทองเหือดหาย เงามืดปรากฏบนรูปหน้า พวกเขาทั้งหมดจะทยอยขึ้นนั่งหลังรถกระบะที่พาพวกเขาออกไป เสียงพูดคุยค่อยๆ หายไปจากเนินหญ้า บึงน้ำ ควันบุหรี่ของนายช่าง ชายหนุ่ม และชายสูงวัยจางกลิ่น เหลือเพียงยามค่ำที่สงบนิ่ง คงเป็นห้วงยามธรรมดาเช่นนี้ที่ฝูงนกเดินทางมาถึง มาพักพิง ณ บึงน้ำ ใกล้งานก่อสร้างที่ยาวนานข้ามฤดูกาล ขณะที่คนงานเหล่านั้นยังไม่ได้กลับมา ทิ้งร่องรอยไว้เป็นเต็นท์ เก้าอี้ และเส้นกั้นขาวแดงที่เป็นเสมือนริบบิ้นผูกกล่องของขวัญ หากแต่กล่องที่ว่างเปล่าคือความโชคดี ไม่มีใครอยากเจอสายชนวนระเบิดที่จุดแล้วซ่อนเร้นอยู่ในโพรงจมูก แม้โชคดีแล้ว ก็ยังต้องเปิดกล่องของขวัญอีกครั้ง อีกครั้ง และอาจอีกหลายครั้ง ภาวนาให้ภายในกล่องว่างเปล่า ตัวเลขจากประกาศของจังหวัดเมื่อวานถูกเชื่อมโยงกับที่นี่ ผู้ติดเชื้อโควิค-19 จากแคมป์คนงาน จากสิบเพิ่มเป็นยี่สิบ และเพิ่มจนถึงหกสิบกว่าคน อย่างน้อยสิบสี่วันการงานที่นี่จะต้องหยุดพัก เครื่องจักรได้หยุดบดหมุน คนถูกกักขังในความทุกข์จากความหวาดกลัว เธอรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก สัมผัสแตะต้องได้มากกว่าตอนทำสมาธิ ความกลัวก้อนใหญ่วูบผ่านไป

กลุ่มก้อนของเมฆสีเทาดำขมุกขมัวบนพื้นน้ำเงินเข้ม เป็นสิ่งเดียวกับที่เคยเรืองริ้วแสง ขลิบขอบด้วยสีทองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า และเป็นปุยขาวยามแดดจัดจ้าตอนเที่ยงวัน ถ้าเป็นหน้าหนาวท้องฟ้าจะโล่ง เมฆเหล่านี้จะค่อยๆ ละลายหายไป เธอคงกลายเป็นเงาตะคุ่ม ตะคุ่ม เคลื่อนไปในยามค่ำแล้วเลือนหาย หากไม่มีเสื้อสีส้มสว่างช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น เธอชอบความเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดสลัวของยามค่ำ แต่ยังต้องการการถูกมองเห็น ให้คนรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น อยากลืมเลือนแต่ไม่เลือนหาย คนเราต้องมีตัวตนในที่ใดที่หนึ่งเสมอ บ้านที่จากมา บ้านที่จากไป บ้านในที่อื่น ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอมีแค่รังเล็กจ้อยเปลี่ยนผ่านไปตามแต่ละช่วงชีวิต เธอคิดถึงบ้านที่คนเหล่านั้นคิดถึง คนเราคงคิดถึงบ้านไม่เหมือนกัน บ้านอาจไม่ใช่ที่กลับไปตอนค่ำ แต่มีไว้ฝันถึง นกอพยพฝันถึงบ้านที่ใดกัน

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ เธอยอมรับว่า ไม่ปรารถนาการรวมฝูง เธอทนไม่ได้กับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของหมู่นกในยามค่ำ เป็นปุ่มปมตามเส้นสายไฟ ปล่อยปฏิกูลลงบนหัวคนที่ผ่าน เช่นเดียวกับหลายคน เราต่างโดดเดี่ยวต่อกัน กั้นเชือกที่มองไม่เห็นเป็นอาณาเขต ต่อไปอาจพลัดพรายหายสูญ รวมฝูงกับความแปลกแยก หาญกล้าในหวาดหวั่นต่อชีวิต ก้มมองตัวเองที่ยังไม่แตกสลายในทุกครั้งที่คิดว่าต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว ต่างล้วนฟันฝ่าไปเพียงลำพัง เมื่อเป็นหนึ่งในนั้นความโดดเดี่ยวอาจมลายหาย หรือรายรอบด้วยความเงียบงันอันกึกก้อง -ไม่มีใครรู้- ความมืดปล่อยละอองแน่นหนา หญิงสาวเดินไปกับเสียงฝีเท้าของตัวเอง เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวในความมืด

แล้วสีส้มจากเสื้อของเธอก็ค่อยๆ เลือนหายไปในสีดำอันกว้างใหญ่ เช่นเดียวกับที่สิ่งต่างๆ ล้วนถูกดูดกลืนหายไป •