‘นอกบทนำ-อำนาจอ่อน’/อัญเจียแขฺมร์ อภิญญา ตะวันออก

อภิญญา ตะวันออก

อัญเจียแขฺมร์

อภิญญา ตะวันออก

 

‘นอกบทนำ-อำนาจอ่อน’

 

อนึ่ง ชื่อถนนต่างๆ น่าจดจำ สำหรับฉันการออกสำรวจพนมเปญที่เริ่มต้นจากครั้งเลือกตั้งครั้งสำคัญ/1993 ถนนสายหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากถนนสายหลักสีโสวัตถิ์ริมแม่น้ำจตุรมุขและทะลุไปสู่ “สหปอนโซเวียตรุสซีบูลเลอวาร์ด” หรือถนนสหภาพโซเวียตที่เชื่อมสู่ถนนเส้นรองซึ่งมีชื่อว่า-เลนิน

วังวนของจักรวรรดิรัสเซียในเขมรยังไม่จบเท่านี้ เมื่อย้อนไปยังระบอบปฏิวัติสังคมนิยม ตรงส่วนที่เรียกกันว่าท่าแพและเยื้องจากหน้าวังไปทางทิศตะวันออก ที่นั่น บาสัก หนึ่งในสายแม่น้ำโขง-ตนเลสาบ ที่ทะลักไหลกลายเป็นชื่อจตุรมุข และเป็นที่พัดพาตะกอนสันดอนแม่น้ำมาสะสมรวมกัน จนบัดนี้ ส่วนขยายของพื้นที่ทับถมจนกลายเป็นแผ่นดินใจกลางเมืองที่ถูกเรียกกันว่าเกาะเพชร

เป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวและกาสิโนที่เริ่ดหรูของพนมเปญไปแล้วในวันนี้-และใครล่ะจะคิดว่า ณ ที่บริเวณนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีท่าแพในอดีตซึ่งคือท่าแพ-คาร์ลมาร์ก (Quai Karl Marx)

เอ๊ะ อะไรกัน นี่ฉันเอาแต่รำลึกแต่ความหลังของสหภาพโซเวียต?

ไม่เลย ฉันกำลังพูดถึง “ราชินีแปซิปิก” เธอเคยเทียบท่าที่นี่ระหว่างปี 1992-1997 ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนพากันมาชื่นชมเรือนร่างเรือสำราญลำนั้น

ไม่เท่านั้น การมาถึงของเรือสำราญขนาดกลางที่เต็มไปด้วยความหรูหราวีไอพีด้านบริการรวมทั้งกาสิโนรอยัล ราชินีแปซิฟิกยังบดบังความสำคัญพนมเปญเกือบทั้งหมดเวลานั้น รวมทั้งท่าแพคาร์ลมาร์กที่ไม่มีใครสนใจนั่น มันเป็นสัญลักษณ์ทุนสมัยที่บันดาลให้ชาวพนมเปญชั้นนำมาพบปะสังสรรค์ ในนามของโรงแรมลอยน้ำ-Phnom Penh Floating Hotel ที่สนนราคาห้อง 90 เหรียญยูเอสดอลลาร์ (คูณด้วย 45 บาท) ต่อคืน

แต่ยอดจองก็ยังเต็มตลอดปี

โอ ท่าแพคาร์ลมาร์ก มันช่างน่าน้อยใจนัก ที่ทุกอย่างในความเป็นมาร์กอีกรูปปั้นอนุสาวรีย์ของเลนินที่ไม่มีใครสนใจไยดี แม้แต่ถนนสหภาพโซเวียตรุสซีวิถีที่ทรุดโทรมนั่น!

ที่กำลังกลายเป็นรูปลักษณ์อันย้อนแย้งของความทันสมัยที่กำลังรุกคืบเข้ามาและผลักไสเมืองหลวงเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณัติของระบอบคอมมิวนิสต์

นี่ล่ะ อำนาจทุนเสรี ที่ทำให้เราประจักษ์ว่า อดีตจักรวรรดิรัสเซียได้สูญเสียอำนาจของตนแล้ว

เวียสนาคีรี ฉันอยากให้เธอสังเกตที่ตั้งระหว่างแยกถนนที่ 240 และจุดที่เลยออกไปถึงถนนเก่าอีกสายหนึ่งชื่อว่าถนนอาจารย์เมียน (Achar Mean Boulevard) และเยื้องจากหอจตุรมุข

ที่นั่นเคยเป็นชุมชนของเหล่าทูตานุทูตลัทธิสังคมนิยมเดียวกัน อินเดีย โปแลนด์ ฮังการี เวียดนาม เยื้องไปอีกฟาก แก้วมุนีบลูเลอวาร์ด-ที่ตั้งของสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนตัดกับถนนสีวัตถานั้น

คือสถานทูตเกาหลีเหนือ

เวียสนาคีรี เธอคงพอจำ โลกปริง สาคอน ได้ไหม เขาคือนักการละครเวที-ละครพูดยุคสุดท้ายของเขมร ผู้ตกทอดวิชามาจากเหล่าปรมาจารย์ที่อาศัยละครพูดปฏิวัติประเทศ และท่านปริง สาคอน เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานนี้

ชีวิตของเขายังคงอุทิศให้กับศาสตร์วิชานี้และรวมแนวนิยมบทละครยุคสมัยมาร์ก-เลนิน แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสสัมผัสผลงานของนักละครเวทีตะวันตกที่แอนตี้นาซี เช่น เบรทอล เบลก นั่น แต่ฉันก็ยังสงสัยว่า ถ้าเขายังมีชีวิตเขาจะมีมุมมองต่อนักการละครคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า โวโลดิมีร์ เซเลนสกี อย่างไรนะ ที่นักแสดงละครตลกคนนี้ สามารถขับเคลื่อนการเมืองเชิงลึกไปได้?

เซเลนสกี คือความหมดจดงดงามในแบบที่นักการละครเก่าปริง สาคอน เคยบอกเล่าถึงคนในยุคเขาใช่ไหมที่ว่า ข้ออ่อนด้อยทางกายภาพใดๆ ไม่สามารถเอาชนะนักละครอย่างเราได้ หากเรารู้จักการสื่อสาร ด้วยร่างกายและจิตใจ และศักยภาพในทุกมิตินั่น มันสำคัญกว่าสิ่งใด

มันจึงทำให้ร่างกายของเราพองโต มีพลังอำนาจ และทักษะแบบนักการละครนั่น ยังก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อคนดูผู้รับสารมากกว่าผู้ที่ได้ชื่อว่ามีอำนาจเสียอีก

ซึ่งมันจริง เพราะแม้แต่นายวลาดิมีร์ ปูติน คนที่มากบารมีอำนาจก็ยังไม่อาจจะข่มได้

เวียสนาคีรี ฉันเพิ่งเข้าใจในหลักการสอนของปริง สาคอน และเข้าใจว่า สิ่งที่เราตอบสนองกันมามากไม่ใช่แต่เรื่องของบทละครที่ดีเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงวุฒิภาวะอันสูงสุดที่เกิดขึ้นขณะใดขณะหนึ่งของการแสดงออก

และผู้นำยูเครนได้ฝึกฝนทักษะนี้มาอย่างดีที่สุดแล้ว

ไม่ใช่ทุกครั้งหรอก ที่เราจะสามารถเปล่งพูดในบทของตน

และไม่ใช่ทุกครั้งหรอก ที่การสื่อสารแต่ละหนจะดลบันดาลมรรคผลอันยาวไกลที่ตามมา

และนี่ต่างหากล่ะ ที่เราเรียกกันว่า ทักษะอำนาจอ่อน (สกิลซอฟต์เพาเวอร์) ที่ไม่อ่อนเขลาไปตามกาล

แต่มันคืออำนาจอันลี้ลับที่ไม่อาจกำกับได้ในทุกคน มันต้องผ่านการฝึกฝนและเปิดผนึกในด้านลึกของจิตใจที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีในหมู่ผู้นำคลั่งอำนาจ

เวียสนาคีรี เธอสังเกตเห็นได้หรือไม่นี่? ยามที่นายปูตินยืนนิ่งงันบนเวที เห็นได้ชัดเทียวว่า เขาคิดแต่บทพูดของตัวเองที่ไม่มีอะไรอื่นนอกจากอำนาจแข็งกร้าว ดุดัน ทว่า มันช่างห่างไกลกับความเป็นมนุษย์

เวียสนาคีรี ไม่ว่าจะทำมันในรูบแบบใด เธอก็คงทราบดี สมัยหนึ่งนักละครปัญญาชน พวกเขาได้อาศัยการแสดงของตน ผูกติดกับการปฏิวัติประเทศและสังคมด้วยบทละครเวทีที่แยบยล

และด้วยอำนาจอ่อนแบบนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปศิลปะแขนงใด การเดินทางจะยากเย็น ยาวนานผ่านกาลเวลาหรือเยี่ยงใด

ฉันจึงรู้สึกตื้นตันใจ ว่าทำไมตลอดชีวิตที่เหลือรอดจากหลายระบอบปกครองที่ทำให้ปริง สาคอน ลำบากมาทุกยุคนั่น ทำไมเขาจึงไม่เคยละทิ้งอาชีพชีวะในการเป็นนักการละครเลย

นั่นสินะเวียสะนา ครั้งไหนกันตรงแนวรบตะวันออกของเขมรแดงกับเวียดนามที่ผ่านมา สมรภูมิเหล่านั้นได้เป็นเหมือนภาพจำลองสมรภูมิยูเครนในบางครา

โดยเฉพาะฉากที่ชาวยูเครนพากันโห่ร้องดีใจขณะที่บั่นศีรษะภาพปั้นอันเป็นเหมือนตัวแทนชาวรัสเซียที่อนุสาวรีย์แห่งมิตรภาพ พลัน ฉากเล่าเรื่องราวของอำนาจแฝงที่ซ่อนอยู่ในทุกอณูความสัมพันธ์อดีตประเทศในอาณัติ อย่างมีนัยยะสำคัญ

ในหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าร่องรอยของอดีตอนุสรณ์สถานที่ปรากฏ ณ ประเทศหนึ่งจะสูญหายและกลายเป็นอื่นจนเราไม่อาจกลับไปได้อีก สำหรับลัทธิจักรวรรดิรัสเซียที่กัมพูชา ภาพด้านที่ผ่านมาคือการถูกลบล้างด้วยระบอบขั้วตรงข้ามอย่างช้าๆ จนไม่มีคำถามถึงการหายไปของสิ่งเหล่านั้น

เวียสนาคีรี กรณีคณะเขมรแดงของกัมพูชาคือตัวอย่างของการถอดบทเรียนหรือไม่? พวกเขามีบางอย่างที่น่าสนใจ ในด้านการเฝ้าทำลายล้างความเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่พร่องขาดขาดทั้งภาวะผู้นำอันมากกว่าความพินาศ โดยเฉพาะการสื่อสารยามสงคราม

แต่ในสงครามยูเครน เวียสนาคีรี มีอาภรณ์ของอำนาจแฝงที่เป็นอาวุธป้องกันตนเองอยู่เสมอ ถ้าเพียงแค่เราจะเรียนรู้ และสื่อสารมันอย่างถูกจังหวะเวลา

 

เวียสนาคีรี หรือชาวยูเครนทุกคน ล้วนเป็นนักสื่อสารอำนาจแฝง แม้แต่ในยามสมรภูมิสงคราม พวกเขาก็รู้จักวิธีเล่าเรื่องไปตามศักยภาพของตน ตั้งแต่ผู้นำนักแสดงละครตลกไปจนถึงเด็กๆ เดียงสาในโถงรถไฟใต้ดินที่เสียงร้องเพลงของเธอบอกเล่าดังไปถึงโลกภายนอก

ตลอดจนแม้แต่มนุษย์ป้าๆ หญิงชราที่พร้อมจะใช้สายตาแห่งความกร้านโลก บอกเล่าเรื่องความทุกข์ระทมต่อหน้าผู้รุกรานคราวลูกซึ่งเป็นฝ่ายศัตรู และนี่คือสิ่งที่เราได้เห็นจากคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยอำนาจแฝง และศาสตร์แห่งการเผชิญหน้าในการมีชีวิต

เวียสนาคีรี ที่ผ่านมา เธอเองก็ได้เห็นแล้วว่า เพื่อนร่วมชาติที่ทุกข์ทนต่อสงครามของเธอ ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากมากมายเพียงใด แต่ในที่สุดเรื่องราวเหล่านั้นก็กลายเป็นเพียงแค่ “คำให้การ” ในศาลเขมรแดงที่ไม่ส่งผลต่อสังคมในทางใด

เวียสนาคีรี ทันใดนั้น ฉันก็รำลึกถึงปริง สาคอน ที่ว่า “ขอเรามีรากพันธุ์นักการละครดีๆ”

หรือนี่คือ รหัสนัยของซอฟต์เพาเวอร์?