ปากคำจากพิธีกรสาว ‘ต้นอ้อ’ บทเรียนในฐานะเหยื่อ/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

ปากคำจากพิธีกรสาว ‘ต้นอ้อ’

บทเรียนในฐานะเหยื่อ

 

“ไม่คิดเลยว่าจะเกิดกับเรา” คือความในใจจากต้นอ้อ-ภัทธีมา โกมลบวรกุล พิธีกรสาว เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผู้สูญเงินล้าน

เงินที่เธอโอน ตำรวจตรวจพบว่าถูกถ่ายออกไปหลายช่องทาง หากกระนั้นเธอก็ยังหวัง และภาวนาขอให้ได้คืน-แม้จะรู้ว่ายาก

“มันคือเงินเก็บจากการทำงาน เพื่อเอาไปหมุนเวียนในเรื่องของธุรกิจ ดูแลที่บ้าน ดูแลคุณแม่ แล้วก็ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็หมดไปเลยทีเดียว”

หมดภายใน 15 นาที หลังรับโทรศัพท์สายนั้น

“คือไม่คิดว่าตรงนั้นคือมิจฉาชีพ แค่ต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ จนเกิดเหตุที่เราไม่ได้คาดคิด”

 

ที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ บอกเป็นคนทำงานสื่อแท้ๆ แต่ทำไมไม่รู้ในเรื่องที่ใครๆ ต่างพูดถึง เธอก็ว่าเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เธอเคยได้ยินมา แต่ “อ้อเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี มีคนเคยแฮ็กข้อมูล แล้วเอาทั้งบัตรประชาชน ทั้งเลขบัญชีแบบนี้ ไปใช้ในทางที่ไม่ดี ซึ่งในครั้งนั้นมันเกิดขึ้นจริง ครั้งนี้ก็คิดว่าเกิดขึ้นจริงอีก แล้วด้วยความที่เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร สามารถเปิดเผยได้ บอกความจริงได้ ให้ความร่วมมือกับตำรวจได้ เพราะอ้อไม่อยากเป็นแพะรับบาป ไม่ได้ทำความผิด แต่ต้องติดคุก นี่คือสิ่งที่มิจฉาชีพพูดกับเรา”

“เขาพยายามทำทุกอย่างให้เรากลัว เตรียมการอย่างดีมากๆ ทุกอย่าง ทุกคำที่เราพูดออกไป เขาจะดักได้หมด แล้วเขาทำเป็นกระบวนการ แล้วพอเราขาดสติ มีความกลัว เขาก็ฉวยโอกาสในช่วงเวลานั้น ซึ่งไม่มีจังหวะให้เราได้คิด คือเขาให้เราทำวิดีโอคอล เพื่อให้เราจดจ่ออยู่กับเขา ถามคำถามขู่ ก็เข้าใจเลยสำหรับคนที่เป็นผู้เสียหายเหมือนในเหตุการณ์คล้ายๆ กัน”

เล่าอีกว่า หลังโอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยังพยายามหลอกต่อ ยังอยากได้เงินจากบัตรเครดิตของเธอ อยากได้รถ ได้บ้าน รวมไปถึงเพชร ทอง คริปโต ฯลฯ อยากได้ทุกอย่าง

“ซึ่งพออ้อเห็นความต้องการที่มากขึ้นของเขา ก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว เลยบอกว่าอ้อไม่มี แต่ก็ไม่ทันกับการที่เราโอนเงินไปแล้ว”

“มุมหนึ่งอ้อก็เสียใจเหมือนกันนะคะ กับสิ่งที่ได้อ่าน สิ่งที่คนคอมเมนต์ ทำไมโอนเงินง่าย ทำไมโง่จังเลย ซึ่งทุกๆ คอมเมนต์ก็สะเทือนความรู้สึก”

หากกระนั้น “ก็เข้าใจ”

“ต้องบอกว่ามิจฉาชีพมีหลายรูปแบบ แล้วมีเล่ห์เหลี่ยมในการที่จะเข้าหาเรา แล้ววันที่เข้าหาอ้อ เขาเข้าถูกจังหวะมาก เพราะอ้ออยู่คนเดียว แล้วเคยมีเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กัน ก็ทำให้เราฝังใจ ในหัวก็คิดแต่เรื่องไม่อยากเป็นแพะรับบาป ไม่อยากติดคุกในสิ่งที่ไม่ได้ทำ”

 

นอกจากคอมเมนต์เชิงติ ตำหนิ แซะ ในอีกด้านเธอก็ได้รับกำลังใจ ซึ่ง “ขอบคุณมากๆ เลย เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้อ้อเดินต่อไปได้”

“สำหรับคอมเมนต์ที่ว่า อ้อก็ขอบคุณเหมือนกัน เพราะมันก็ตอกย้ำว่าต่อไปนี้อ้อจะไม่พลาดในเรื่องเดิมๆ อีก”

“สิ่งที่อ้อพูด ก็รู้อยู่นะ ว่าต้องมีคำว่าแบบนี้ในคอมเมนต์อยู่แล้ว แต่อ้อต้องการที่จะเป็นอุทาหรณ์ ต้องการจะเป็นหนึ่งบทเรียน เพื่อเตือนสติตัวเองและทุกๆ คน ว่าถ้ามิจฉาชีพเข้าหาเรา เจอจุดอ่อนเรา เข้ามาถูกจังหวะ แล้วเราไม่รู้ เรากลัว ขาดสติ เราก็จะพลาดได้เหมือนกัน”

“ตำรวจก็ฝากมาเหมือนกันนะคะ ว่าทุกๆ ครั้งที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่เราไม่รู้มาก่อน ให้จำไว้เลยว่า ต้องไม่โอนในทุกกรณี ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่”

 

ต้นอ้อในวัย 37 บอกด้วยว่า แม้จะยังร้องไห้อยู่ทุกวัน แต่เธอก็พยายามจะฟื้นฟูความรู้สึกให้ค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิดๆ

“อ้อนึกถึงคุณแม่ค่ะ” เผยด้วยเสียงเครือ

“เพราะวันนี้เราเป็นเสาหลักของบ้าน คุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น อ้อล้มไม่ได้ แล้วคุณแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง สำหรับอ้อ คุณแม่ต้องมีความสุขทุกวัน เรื่องอะไรที่สามารถทำให้แม่ได้ อ้อทำทุกอย่าง ก็เลยคิดว่า ถ้าเราร้องไห้ต่อหน้าแม่ ถ้าเราไม่เข้มแข็ง แล้วเราจะดูแลคุณแม่ หรือว่าดูแลคนที่เราต้องรับผิดชอบยังไง ก็ต้องลุกขึ้นมา ทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่รอด เพราะว่าถ้าตัวเราอยู่รอด เราก็สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้”

“อ้อว่าจิตใจสำคัญมาก เพราะมีผู้เสียหายหลายท่านมากติดต่อมาเล่า เขาเสียศูนย์ไปเลย บางคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า บางคนอยากฆ่าตัวตาย มันคือเรื่องของจิตใจที่เราต้องประคับประคอง ถ้าเราประคับประคองได้ เราก็จะเดินต่อได้”

ซึ่งเธอเองก็พยายามทำอย่างนั้นอยู่