ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | การเมืองวัฒนธรรม |
ผู้เขียน | เกษียร เตชะพีระ |
เผยแพร่ |
“พวกสมัครเล่นพูดเรื่องยุทธศาสตร์ ส่วนพวกมืออาชีพพูดเรื่องการส่งกำลังบำรุง”
โอมาร์ แบรดลีย์ พลเอกอเมริกันสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
“ทุกอย่างที่กองทัพต้องมีเพื่อปฏิบัติการของตนล้วนมาจากรถบรรทุก เอาเข้าจริงอาวุธไม่ใช่ตัวรถถังเอง แต่คือกระสุนปืนใหญ่ที่รถถังยิงออกมาต่างหาก และกระสุนที่ว่าขนมาโดยรถบรรทุก ไม่ว่าเสบียงเอย เชื้อเพลิงเอย, หยูกยาเอย และแม้แต่กำลังพลเอง ทั้งหมดล้วนอาศัยเส้นทางขนส่งกำลังบำรุงซึ่งพึ่งพารถบรรทุกอย่างมาก รถบรรทุกเป็นกระดูกสันหลังของกำลังทหารสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกล และถ้าคุณไม่มีมันแล้ว คุณก็ต้องเดิน”
เทรนต์ เทเลนโก อดีตผู้ตรวจควบคุมคุณภาพ
สังกัดหน่วยงานจัดการสัญญารับเหมากับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
รถไฟ–>รถบรรทุก–>กองทหารรัสเซีย
กองทัพไม่ใช่แค่ทหารแนวหน้า หากรวมทั้งหน่วยงานจำเป็นต่างๆ ที่ช่วยให้พวกเขาสู้รบต่อไปได้ด้วย ภารกิจด้าน การส่งกำลังบำรุง (logistics) ก็คือวิธีการจัดหาสิ่งของจำเป็นมาสนองให้ทหารแนวหน้านั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นกระสุน อาวุธ เชื้อเพลิง เสบียง เครื่องแบบ หรือแม้แต่กำลังพลผลัดใหม่เพื่อหมุนเวียนเปลี่ยนทหาร ผลัดเก่าที่สู้รบอยู่แนวหน้าจนล้าเปลี้ยแล้วได้ไปพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายจิตใจในแนวหลัง
กองทัพเดินด้วยท้องและสิ่งจำเป็นอื่นๆ งานส่งกำลังบำรุงจึงขาดไม่ได้และต้องทำต่อเนื่อง ไม่เพียงเพื่อเลี้ยงดู แต่ยังต้องจัดหาของใหม่คนใหม่มาทดแทนเติมเต็มของเก่าคนเก่าซึ่งร่อยหรอชำรุดหมดเปลือง บาดเจ็บล้มตายไปแก่แนวหน้า ฉะนั้น หน่วยส่งกำลังบำรุงจึงสำคัญยิ่งโดยตัวมันเอง
เอมิลี เฟอร์ริส นักวิจัยหญิงผู้เชี่ยวชาญกองทัพและโครงสร้างพื้นฐานของรัสเซีย สังกัด Royal United Services Institute อันเป็นสถาบันคลังสมองด้านกลาโหมและความมั่นคงของอังกฤษที่อ้างว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก (https://rusi.org/) ชี้ไว้ในรายการ The Inquiry ทางวิทยุ BBC เมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมาว่า การส่งกำลังบำรุงของฝ่ายรัสเซียดังที่เป็นอยู่ในสงครามรุกรานยูเครนครั้งนี้ต้องถือว่าประสานงานแย่ ผิดวิสัยหนึ่งในบรรดากองทัพใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งน่าจะจัดตั้งดำเนินการได้ดีกว่านี้
ทั้งที่ก่อนบุกยูเครนจริงเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ศกนี้ รัสเซียก็ได้เคลื่อนพลหลายหมื่นและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปรอท่าตรงบริเวณชายแดนแล้ว
เฟอร์ริสอธิบายสภาพภูมิหลังการส่งกำลังบำรุงของกองทัพรัสเซียว่าด้านหลักแล้วพึ่งพาการขนส่ง ทางรถไฟ น่าจะมากกว่ากองทัพอื่นใดในโลกทั้งในการเคลื่อนกำลังพล ขนส่งเสบียงอาวุธยุทโธปกรณ์ จัดวางกำลัง และซ้อมรบทั้งในและนอกประเทศ
ทั้งนี้ก็ด้วยรัสเซียมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล สภาพภูมิอากาศภูมิประเทศแตกต่างตัดกันหลากหลายในประเทศเดียว ทางรถไฟจึงเป็นทางเลือกด้านการขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และหน่วยทหารต่างๆ ก็พยายามตั้งใกล้คลังเก็บเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไว้เพื่อความสะดวก แต่ยากที่จะทำเช่นนั้นได้หากเดินทัพบุกรุกเข้าไปในแดนข้าศึก
ปัญหาหลักก็คือรัสเซียไม่มี รถบรรทุก มากพอที่จะใช้ขนส่งเสบียงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นจากทางรถไฟไปยังแนวหน้าได้ทันการณ์ ทำให้ยากจะบุกลึกเข้าไปในยูเครน
และถ้าหากรถบรรทุกเหล่านั้นเกิดชำรุดเสียหายหรือตกเป็นเป้าโจมตี (ดังที่ทหารยูเครนกำลังทำ) รัสเซียก็จะไม่สามารถส่งเชื้อเพลิง เสบียง อาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลไปทำสงครามแนวหน้าได้ตามแผน เหมือนถูกถ่วงดึงเหนี่ยวรั้งจนไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในยูเครนบางส่วน
เทเลนโก ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันที่อ้างถึงข้างต้นให้ข้อมูลทางเทคนิคประกอบการวิเคราะห์ว่าปกติรถบรรทุกจะแล่นได้ในรัศมี 145 กิโลเมตรจากคลังเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์
ขณะที่ประเทศยูเครนมีขนาดความกว้างทางขวาง 1,287 ก.ม. และยาวทางดิ่ง 563 ก.ม. นั่นแปลว่ารัสเซียจะต้องสร้างคลังเก็บเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์สำรองใช้ในยูเครนมากมายเพื่อสามารถเคลื่อนกำลังพลลึกเข้าไปในดินแดนข้าศึก
แต่รอบเดือนกว่าของสงครามรุกรานยูเครน ฝ่ายรัสเซียก็เสียรถบรรทุกไปแล้วมากพอควรและอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อผลิตรถใหม่มาทดแทน นั่นหมายความว่าโดยอาศัยรถบรรทุกที่เหลืออยู่ปัจจุบัน การรุกของรัสเซียจะต้องปรับหดพื้นที่เล็กลงและยืดเวลานานออกไป
ที่แย่คือตั้งแต่ก่อนสงคราม รถบรรทุกทหารของรัสเซียเหล่านี้จำนวนมากถูกละทิ้ง ไม่ซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดี ทั้งนี้ รากเหง้าของปัญหาดูจะมี 2 เรื่องด้วยกันได้แก่ คอร์รัปชั่นและการใช้ทหารเกณฑ์
เฟอร์ริสชี้ว่าคงมีคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบในกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ส่งผลให้ขาดความรับผิดชอบทั่วไปในการตรวจสอบงานซ่อมบำรุงยานพาหนะ ปล่อยให้ยางล้อรถบรรทุกเปื่อยผุสึกเปราะจนยางระเบิดชำรุดเมื่อเผชิญอากาศหน้าหนาวและพื้นถนนกลายเป็นดินโคลนในยูเครนภาคเหนือปัจจุบันแล้วรถใช้การไม่ได้
ดังปรากฏว่า ดรรชนีความสุจริตของกิจการกลาโหมภาครัฐ (The Government Defense Integrity Index – GDI) ประจำปี 2020 ซึ่งเก็บรวบรวมประมวลผลโดย Transparency International หรือองค์การความโปร่งใสสากลระบุว่ารัสเซียได้เกรด D dog คือเสี่ยงต่อคอร์รัปชั่นสูง เพราะมาตรการป้องกันคอร์รัปชั่นอ่อนแอ GDI สรุปว่า :
“ภาคกลาโหมของรัสเซียเสี่ยงต่อคอร์รัปชั่นสูง เนื่องจากมีการตรวจสอบดูแลจากภายนอกจำกัดยิ่ง ในด้านนโยบาย งบประมาณ กิจกรรมและการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของบรรดาหน่วยงานกลาโหม ความโปร่งใสก็มีจำกัดโดยเฉพาะในการจัดซื้อจัดจ้าง และมาตรการป้องกันการคอร์รัปชั่นในปฏิบัติการทางทหารก็อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม มาตรการแอนตี้คอร์รัปชั่นของรัสเซียเข้มแข็งที่สุดในแง่การบริหารจัดการบุคลากร”
(https://ti-defence.org/gdi/countries/russia/)
แมทธิว สตีเฟนสัน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ และหัวหน้า บก.บล็อก Global Anti-corruption ชี้ผลทางปฏิบัติของคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบในกองทัพว่าได้แก่ :
– จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ด้อยมาตรฐาน เช่น ทำสัญญาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และจัดจ้างการบำรุงรักษากับผู้รับเหมาด้อยคุณภาพที่ยินดีจ่ายใต้โต๊ะ
– ซื้อสินค้าบริการคุณภาพต่ำแล้วยักยอกส่วนต่างเข้ากระเป๋า
– ยักยอกค่าบำรุงรักษายานพาหนะแล้วใช้ให้ทหารเกณฑ์ซ่อมบำรุงรถบรรทุกไปตามมีตามเกิด เป็นต้น
ทหารเกณฑ์ เป็นอีกปัญหาที่บั่นทอนประสิทธิภาพการรบของกองทัพรัสเซีย ดังข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS – องค์การวิจัยนโยบายไม่แสวงหากำไรอเมริกันที่เข้าได้กับทั้งสองพรรคหลัก https://www.csis.org/) ระบุว่าทหารเกณฑ์คิดเป็น 25% ของกองทัพรัสเซียที่มีกำลังพลนับล้านคน ยังไม่นับพวกที่อาจถูกบังคับหรือล่อลวงให้มาสมัครเป็นทหารด้วย
ลักษณะของทหารเกณฑ์รัสเซียคือมักจะประจำการแค่ปีเดียว ครองยศตำแหน่งต้อยต่ำ และประจำทำงานกันมากหลายในสายโซ่การส่งกำลังบำรุงรวมทั้งงานซ่อมบำรุงยานพาหนะ
“คุณเรียนรู้อะไรจริงๆ เกี่ยวกับงานซ่อมบำรุงระบบต่างๆ ทางทหารไม่ได้ในชั่วปีเดียวหรอก นอกจากนี้ ทหารเกณฑ์ยังมีแรงจูงใจน้อยด้วยเพราะรู้ว่าตนมีเวลาในอาชีพทหารจำกัด” เทเลนโกชี้
กล่าวเฉพาะทหารรัสเซียที่ถูกส่งเข้าไปบุกยูเครน เจ้าหน้าที่สหรัฐชี้ว่าเป็นทหารเกณฑ์เสีย “เกือบครึ่ง”
พร้อมอ้างว่ามีหลักฐานบ่งชี้ว่าทหารเกณฑ์รัสเซียในแนวหน้าเหล่านี้ “พากันตาสว่างจากสงคราม ไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้ฝึกฝนมาอย่างเหมาะสม ไม่พร้อมรบทั้งทางร่างกายและจิตใจ”
ผลจากปัญหารถบรรทุกทหารชำรุดเสียหายข้างต้น กองทัพรัสเซียจึงหันไปกะเกณฑ์เอารถบรรทุกพลเรือนมาใช้หนุนเสริมในสมรภูมิยูเครนทดแทนโดยเขียนสัญลักษณ์ Z ไว้ข้างรถแล้วขนเข้าไปทางขบวนรถไฟตามภาพข่าว อันเป็นสัญญาณบอกว่างานส่งกำลังบำรุงโดยรถบรรทุกของรัสเซียกำลังจะยิ่งย่ำแย่ลงดังที่ ฟิลลิปส์ โอไบรอัน ศาสตราจารย์ยุทธศาสตร์ศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในสกอตแลนด์อธิบายว่า :
“รถบรรทุกพลเรือนไม่ได้ทำขึ้นมาในเกรดสำหรับการทหาร มันไม่ได้ทำขึ้นมาให้บรรทุกสัมภาระหนักขนาดนั้น ไม่ได้ทำขึ้นมาไว้บรรทุกอาวุธยุทโธปกรณ์ชิ้นต่างๆ อย่างเฉพาะเจาะจง และในหลายกรณี มันกระทั่งแล่นออกนอกเส้นทางถนนไม่ได้ด้วยซ้ำไป
“เส้นทางอาจยาวแค่ไมล์เดียวในยามสันติ แต่ถ้าคุณขับรถบรรทุกบนเส้นทางนั้นในยามสงครามมันก็เหมือนยื่นยาวออกไปเป็นสิบหรือยี่สิบไมล์ เพราะคุณกำลังแข็งขืนฝืนเหยียบมันให้แล่นต่อไปด้วยสัมภาระหนักหน่วงมหาศาล”
ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาการซ่อมบำรุงรถบรรทุกพลเรือน เพราะอะไหล่รถบรรทุกทหารที่กองทัพรัสเซียมีอาจใช้แทนกันไม่ได้ด้วย
ต่อคำถามว่าทำไมกองทัพรัสเซียถึงทิ้งขว้างไม่ค่อยดูแลซ่อมบำรุงรถบรรทุกทหารของตน โอไบรอันชี้ว่าเพราะรถบรรทุกไม่เลิศหรูดูเท่เท่าระบบอาวุธไฮเทคทันสมัย
หลายปีหลังนี้ ประธานาธิบดีปูตินชอบคุยโวเรื่องอาวุธใหม่ไฮเทคของกองทัพรัสเซีย เช่น จรวดเร็วเหนือเสียงแบบ Zircon และ Kinzhal เครื่องบินรบเจ็ตเล็ดลอด (stealth fighter jets) แบบ Su-57 รวมทั้งกองเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนำวิถี 11 ลำ เป็นต้น
“อันว่ากองกำลังทหารเท่หรูของเผด็จการนั้นมักจะเก่งเรื่องอาวุธอวดโอ่ มันชอบซื้อเครื่องบินและรถถังวิจิตรพิสดารมาไว้ แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ซื้อของที่ดูเท่หรูน้อยกว่า” แต่จำเป็นยิ่งอย่างรถบรรทุกทหาร
(ต่อสัปดาห์หน้า)