จับความเคลื่อนไหว พรรคกลาง พรรคเล็ก ตลาดการเมืองเปิด รับศึกเลือกตั้งใหญ่/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

จับความเคลื่อนไหว

พรรคกลาง พรรคเล็ก

ตลาดการเมืองเปิด

รับศึกเลือกตั้งใหญ่

 

ความน่าสนใจทางการเมืองสัปดาห์หลังสงกรานต์ นอกจากประเด็นฉาวของผู้บริหารพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งแล้ว ในภาพกว้างทางการเมือง นอกจากพรรคการเมืองใหญ่ เราจะเห็นอาการขยับขยายทางการเมืองโดยเฉพาะในเชิงโครงสร้างการบริหารจัดการของพรรคการเมืองระดับกลางไปจนถึงขนาดเล็ก

นี่คืออาการที่น่าสนใจและน่าจับตา อันเนื่องมาจากสมการการเมืองไทยที่ผ่านมาตามรัฐธรรมนูญ 2560 นั้น ชี้ชัดเจนแล้วว่าตัวแปรสำคัญทางการเมืองไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองใหญ่หรือพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงแน่นอนชัดเจน

แต่คือพรรคขนาดกลาง และพรรคการเมืองขนาดเล็กที่มีฐานเสียงขนาดไม่ใหญ่มาก มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการเมืองเรื่องพื้นที่ นโยบายการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจสังคม มากกว่าเรื่องอุดมการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับโครงสร้างของรัฐ

เช่น พรรคขนาดกลางอย่างภูมิใจไทย และอีกสารพัดพรรคเล็กฝั่งรัฐบาล

ภูมิใจไทยขยับก่อน เริ่มจากการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค ประกาศเจตนารมณ์ของพรรคยืนยันว่าจะทำตามธรรมนูญของพรรคในประเด็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะเสนอชื่อคนที่เป็นหัวหน้าพรรคเท่านั้น นั่นก็คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล

ภูมิใจไทยเลือกจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในการประชุมใหญ่สามัญของพรรค โดยได้ทำการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครของพรรคจำนวน 3 คนด้วย จากเดิมที่พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.ในจังหวัดนี้แล้ว 2 คน จากทั้งหมด 5 เขตเลือกตั้ง

วันดังกล่าวนายอนุทินยังได้ประกาศยุทธศาสตร์คว้าเก้าอี้ 100 ส.ส.เข้าไปนั่งในสภาให้ได้

“เราไม่ได้หวังว่า ส.ส.เท่าไหร่ แต่หวังว่าจะได้ ส.ส.ครบทุกเขตที่พรรคส่ง ซึ่งเชื่อว่าจะได้เกิน 100 คนอย่างแน่นอน เพราะพรรค ภท.จะต้องส่งผู้สมัครที่มีความทุ่มเท เสียสละ มีคุณภาพ เข้าใจและเข้าถึงประชาชน มีความซื่อสัตย์สุจริต โดยเป็นแพ็กเกจรวม ส่วนคนไม่ดียืนยันว่าพรรคจะไม่ส่ง ต่อให้มีความแข็งแกร่งในพื้นที่มากแค่ไหนก็ตาม หากจะเข้ามาเพื่อกอบโกยเราก็ไม่สนับสนุน” นายอนุทินระบุ

“พรรคภูมิใจไทยส่งชื่อนายอนุทินเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวอย่างแน่นอน เพราะมีความพร้อมทุกอย่าง” สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคภูมิใจไทยกล่าว

 

ขยับมาที่ความเคลื่อนไหวของอีก 1 พรรคขนาดกลางฝั่งฝ่ายค้าน นั่นคือพรรคเสรีรวมไทย จัดการประชุมใหญ่สามัญขึ้นเช่นเดียวกันในวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา เรียกเสียงเซอร์ไพรส์ ด้วยการเปิดตัวสมาชิกพรรค และคณะทำงานที่สำคัญ ได้แก่ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาเป็นประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรค นอกจากนี้ยังเปิดตัว วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น เป็นประธานยุทธศาสตร์แผนงานต้านคอร์รัปชั่น

ในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน สมชายและวีระยืนประกบซ้ายขวา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส นั่นก็แปลว่าในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า 2 คนนี้จะกลายเป็นอีกอาวุธคู่กายของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่ปกติก็บู๊ล้างผลาญอยู่แล้ว การได้ 2 คนนี้มาร่วมทีมของพรรค ยิ่งทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าดุเดือดอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่าลืมว่าสมชัย ศรีสุทธิยากร นอกจากมีประสบการณ์ในองค์กรอิสระสำคัญระดับประเทศ ประสบการณ์การเดินหาเสียงเลือกตั้ง การทำงานในพรรคการเมืองใหญ่ ก็มีมาแล้ว ทั้งยังเสนอความคิดเห็นอย่างเฉียบคมในการวิจารณ์ข้อกฎหมายและการเมืองด้วย เช่นเดียวกับวีระ สมความคิด ก็ขึ้นชื่อเรื่องกัดไม่ปล่อย สองคนนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสวนกุหลาบฯ กันอีกด้วย

วันที่เปิดตัว วีระโพสต์ข้อความระบุตอบย้ำความร้อนแรงว่า “2 เพื่อนร่วมรุ่น OSK90 บุ๋น & บู๊ จับมือกันช่วยพี่เสรีพิศุทธ์ ฟาดฟันกับเผด็จการทหารกบฏ #การเมืองร้อนแรงแน่”

 

ฝั่งชาติไทยพัฒนา ก็ไม่อยู่เฉย ประกาศขอสลัดภาพพรรคการเมืองท้องถิ่น จัดประชุมใหญ่พรรคเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา

กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ชทพ. จับไมค์ขึ้นเวที เปิดใจถึงอนาคตพรรคท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งสูง มีพรรคการเมืองใหม่เยอะ กติกาเปลี่ยนไป ยืนยันว่าชาติไทยพัฒนาจะไม่ยุบรวมพรรคเข้ากับพรรคการเมืองใดเด็ดขาด หลังก่อนหน้านี้มีข่าวลือหนาหู

“เราจะสู้ศึกเลือกตั้งในนามชาติไทยพัฒนา จะไม่มีวันยุบรวมกับพรรคใดเด็ดขาด กติกาแบบไหนมาเถอะ เราสู้ทุกรูปแบบ จะไม่มีวันรวมกับพรรคอื่น แต่ถ้าใครจะมาอยู่กับเรา เรายินดีต้อนรับ” กัญจนาระบุ

ส่วนในเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองนั้น แม้ชาติไทยพัฒนาจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชา แต่กัญจนาระบุว่า พรรคชาติไทยพัฒนาเคารพความเห็นการเมืองที่แตกต่าง 3 ปีที่ผ่านมา 2 รัฐมนตรีของพรรค ชทพ.ให้ความช่วยเหลือ ส.ส.ทุกเขต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล ไม่แบ่งแยก เรารับใช้หมด เวลาทำงานกับใครให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่เคยโบ้ย ไม่เคยโทษใคร

ส่วนในศึกเลือกตั้งครั้งหน้านั้น กัญจนาประกาศ ถึงเวลาแล้วที่พรรคจะต้องมีคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยคิดและทำงานในพรรค ผสมผสานกับคนรุ่นเก่าที่ช่วยสนับสนุน

“เราจะเชิญคนนอกพรรคเข้ามาร่วมทำงานกับเรามากขึ้น อย่าลืมว่าบุคลิกของ ชทพ.คือ มีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น ถ้าเราเชิญใคร เราบอกอะไรกับเขา เรายึดถือคำนั้น”

“เราจะไม่ให้ถูกมองว่าเป็นพรรคท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งอีกต่อไป ต้องเป็นของประชาชนทั้งประเทศ”

และว่า “…เราจะต้องได้ ส.ส.มากกว่า 25 เสียง” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศยุทธศาสตร์สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า กลางที่ประชุมใหญ่

ส่วนประเด็นเรื่องการดึงตระกูลคุณปลื้มกลับมาอยู่พรรคชาติไทยพัฒนา วราวุธ ศิลปอาชา ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคให้สัมภาษณ์ในมติชนรายวัน ยอมรับว่ามีการพูดคุยแบบพี่ชายน้องชายมาโดยตลอด เพราะตระกูลคุณปลื้มก็เคยอยู่พรรคชาติไทยพัฒนา ส่วนการตัดสินใจต่างๆ เป็นเรื่องของอนาคต ต้องให้นายสนธยาเป็นคนตัดสินใจ

มากันที่ฝั่งพรรคพลังชล ก็มีความเคลื่อนไหว จัดประชุมใหญ่วันที่ 30 เมษายน ที่จังหวัดชลบุรี นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล ย้ำจุดยืนของพรรคว่า ยังคงทำงานการเมืองในนามของพรรค และไม่คิดยุบไปรวมกับพรรคอื่น ส่วนเรื่องเจรจาอะไรนั้นยังมีเวลาอีกนาน กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง

ขณะที่เรื่องการส่ง ส.ส. ก็ขอรอดูกฎกติกาให้ชัดเจนก่อน

 

ช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็ยังมีความเคลื่อนไหวของอีก 1 พรรคการเมือง นั่นคือพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำก่อตั้ง โดยการเลือกตั้งครั้งก่อน ได้ผู้แทนมา 5 คน ได้โควต้าดูแล 1 กระทรวงระดับรัฐมนตรีว่าการ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ก็ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีขึ้น มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง โหวตเลือก น.ส.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ (ดร.มิ้งค์) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ รวมถึงปรับเปลี่ยนตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคด้วย

นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนชื่อพรรค เป็นชื่อ “พรรครวมพลัง” และเปลี่ยนโลโก้ของพรรค เป็นรูปพญานาคสีเหลืองภายใต้วงกลมสีม่วง จากเดิมที่ใช้โทนสีน้ำเงิน ขาว แดง

ด้านพรรคกล้าก็ไม่อยู่เฉย นัดประชุมใหญ่ของพรรค 30 เมษายน แถลงผลงานตลอดรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ พร้อมจะประกาศแนวทางการขับเคลื่อนทางการเมืองอีก 1 ปีต่อจากนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

ขณะที่ พรรคเล็ก ส.ส.กลุ่ม 16 ก็มีความเคลื่อนไหว นัดรับประทานอาหารกลางวันเพื่อหารือถึงแนวทางการต่อสู้ของพรรคเล็กในการเลือกตั้งสมัยหน้า ที่มีการเปลี่ยนกติกามาใช้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะ ผู้อำนวยการพรรค พปชร. มาร่วมวงรับประทานอาหารด้วย

วันเดียวกันยังได้นัดเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ หวังว่าจะมีการคุยเรื่องการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่สุดท้ายถูกเท

ท่ามกลางการลุ้นระทึกนับถอยหลังไม่ถึง 1 เดือนกับสถานการณ์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี ที่หลายฝ่ายจับตา พรรคการเมืองต่างๆ ก็ขยับเคลื่อนไหว สะท้อนภาพการใกล้เข้ามาแล้วของการเลือกใหญ่ ใกล้มาแล้วกับการสิ้นสุดของรัฐบาลประยุทธ์ 2 จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการเมืองอีกเยอะ เพื่อรับกับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งสำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ชี้ขาดอนาคตของประเทศว่าจะไปต่ออย่างไร รัฐบาลใหม่จะฟื้นตัวหรือไม่จากมหาวิกฤตโรคระบาด

พรรคขนาดกลาง และขนาดเล็กยังต้องขยับอีกมากจากเงื่อนไขการเมืองเรื่องบัตรสองใบ และวิธีการคำนวณคะแนนแบบใหม่ จากนี้ไปไม่ถึง 1 ปี ต้องจับตาอย่ากะพริบ