‘ใบส้ม’ ที่ต้องจำเป็นตำนาน/บทความพิเศษ สมชัย ศรีสุทธิยากร

สมชัย ศรีสุทธิยากร

บทความพิเศษ

สมชัย ศรีสุทธิยากร

ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต

 

‘ใบส้ม’ ที่ต้องจำเป็นตำนาน

 

มาตรา 225 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้อำนาจ กกต.ในการให้ใบส้ม คือหากพบเห็นการทุจริตเลือกตั้งที่เชื่อมโยงไปถึงผู้สมัคร สามารถเอาผู้สมัครออกจากสนามแข่งขันได้หากยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง และสามารถประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่และดึงผู้สมัครที่มีปัญหาออกจากสนามแข่งขันได้ เป็นระยะเวลาหนึ่งปี โดยเราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “ใบส้ม”

ใบส้ม จึงเป็นนวัตกรรมใหม่ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากที่เรารู้จักใบเหลือง และใบแดงที่ กกต.เคยมีในอดีต มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเขี้ยวเล็บให้แก่ กกต.ในการจัดการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรม

แต่ใบส้มใบแรกที่ กกต.ชุดที่ 5 ชักออกมาให้กับนายสุรพล เกียรติไชยากร เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2562 กลับมีเรื่องราวต่อเนื่อง นับแต่การที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยกฟ้องคำร้องของ กกต.เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2563 และศาลจังหวัดฮอด มีคำพิพากษาให้ กกต.ต้องชดใช้เงินเยียวยาค่าเสียหายถึง 64.1 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงินถึง 70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2565

แม้เรื่องดังกล่าวยังไม่ยุติ เพราะ กกต.ยังสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน แต่ใบส้มใบแรกและใบเดียวนี้ จะเป็นเรื่องเล่าตำนานของ กกต.ต่อไปอีกไม่รู้จบอย่างแน่นอน

 

ทำไมต้องจ่ายถึง 70 ล้านบาท

ตัวเลข 70 ล้านบาท เป็นตัวเลขค่าเสียหายที่ผู้สมัครที่โดนใบส้ม แต่ศาลจังหวัดฮอดตัดสินให้ กกต.ต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย โดยคำนวณจาก

1) ค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการหาเสียง 1.06 ล้านบาท

2) เงินเดือนและสิทธิประโยชน์หากได้รับตำแหน่งเป็นผู้แทนราษฎร 4.08 ล้านบาท

3) ค่าทนายความ 9 ล้านบาท

4) ค่าเสื่อมเสียเกียรติ เป็นเงิน 50 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 64.1 ล้านบาท โดยมีการคิดดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องในอัตราร้อยละ 7.5 จนถึงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2564 และอัตราร้อยละ 5 (เนื่องจากมีพระราชกำหนดให้คิดอัตราดอกเบี้ยใหม่) นับแต่วันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2564 ไปจนกว่าจะถึงวันชำระหนี้แล้วเสร็จ

ในกรณีดังกล่าว กกต.มีสิทธิในการอุทธรณ์ภายในกรอบเวลา 30 วัน โดยเป็นอุทธรณ์ในคดีแพ่งเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคำตัดสินชดใช้ค่าเสียหาย อาจต้องใช้เวลาเป็นปีในการพิจารณาในขั้นศาลอุทธรณ์ซึ่งอาจจะมีผลเป็นบวก ลบ หรือไม่ต้องต้องจ่ายได้

ซึ่งแน่นอนว่า กกต.น่าจะยืนในเรื่องของการอุทธรณ์ แต่ผลที่ตามมาในเชิงลบคือ หากต้องจ่ายจะต้องมีดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าคดีจะเสร็จช้าหรือเร็ว

 

กกต.แพ้ในชั้นศาลฎีกา

แผนกคดีเลือกตั้งได้อย่างไร

ฐานความผิดที่นำไปสู่การพิจารณาให้ใบส้มคือ การกระทำความผิดตามมาตรา 73(2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ที่ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใด “ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมแก่ ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด”

ประเด็นการดำเนินคดีจึงเกิดขึ้นเมื่อมีคำร้องจากประชาชนว่า นายสุรพล เกียรติไชยากร ได้ถวายเงิน 2,000 บาท และนาฬิกาแขวน 1 เรือนให้พระสงฆ์ที่อยู่ในงานทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนซื้อชุดเครื่องแบบชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ช.ร.บ.) และมีการขึ้นปราศรัยเพื่อแนะนำตัวหาเสียง

หลังจาก กกต.มีมติให้ใบส้มแล้ว การฟ้องศาลฎีกาเป็นเส้นทางบังคับของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 226 ของรัฐธรรมนูญที่ต้องส่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อเพิกถอนสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิในการเลือกตั้งและดำเนินคดีอาญา รวมถึงการฟ้องเพื่อให้ผู้ทำผิดชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งในกรณีนี้ กกต.เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 9.68 ล้านบาท

แม้มาตรา 226 วรรคสอง จะเขียนไว้ในมุมที่สร้างความได้เปรียบแก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง คือ “ในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา… ให้นำสำนวนการสืบสวนหรือไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหลักในการพิจารณา” แต่ก็ไม่ปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงหรือรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้

ความได้เปรียบดังกล่าว จึงนำไปสู่คำอุทานคำใหญ่ของรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ว่า “กกต.สู้อย่างไรให้แพ้ได้”

หากวิเคราะห์ถึงสาเหตุการพ่ายแพ้ในขั้นศาลฎีกานั้น สามารถวิเคราะห์ได้จากเอกสารคำพิพากษา คดีดำที่ ลต.(สส) 58/2562 โดยเห็นถึงจุดอ่อนในการฟ้องคดีของ กกต.หลายประการ อาทิ

ประการแรก การเร่งรีบในการพิจารณาวินิจฉัยของ กกต.ในคดีดังกล่าว สำนักงาน กกต.จังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอขยายเวลาการไต่สวนอีก 15 วัน คือ ขอขยายถึงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2562 แต่เมื่อสำนักงาน กกต.จังหวัดเชียงใหม่ สรุปสำนวนเสร็จ นำส่งให้ส่วนกลาง มีตราประทับเวลารับเรื่องสำนวนในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2562 เวลา 10.02 น. แล้วบรรจุเป็นวาระการประชุมในตอนบ่าย เวลา 13.30 น. ซึ่งดูเป็นการเร่งรีบจนผิดปกติ

ประการที่สอง การขาดความรอบคอบในการพิจารณา ด้วยเอกสารสำนวนที่ส่งมาในช่วงเช้า ทำให้ กกต.ขาดโอกาสในการอ่านสำนวนอย่างรอบคอบ แตกต่างจากในอดีตที่เอกสารต้องส่งล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และ กกต.แต่ละคนจะมีทีมงานหน้าห้องที่อ่าน สรุป วิเคราะห์และให้ความเห็นต่อ กกต.ที่เป็นผู้บังคับบัญชา ก่อนที่ กกต.แต่ละคนจะไปรับฟังความคิดเห็น อภิปราย และลงมติใน กกต.ชุดใหญ่

ประการที่สาม การขาดการอภิปรายและซักถาม หรือหาข้อมูลจนกระจ่างชัด ปราศจากข้อสงสัย โดยเฉพาะในประเด็นเนื้อหาที่ว่า เป็นการมอบเงินให้แก่ชุมชนหรือให้แก่พระ มีการพูดโดยใช้เครื่องกระจายเสียงเพื่อหาเสียงแนะนำตนเองในฐานะผู้สมัคร ส.ส. หรือพูดในงานบุญทั่วไป โดยระบุว่าในที่ประชุมมีการซักถามกันไม่กี่ประโยค และใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 1 ช.ม. เมื่อยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนแล้วลงมติ จึงสุ่มเสี่ยงที่ทำให้การลงมติผิดพลาดได้

ประการที่สี่ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถพิสูจน์ในขั้นศาลฎีกาว่า เป็นการถวายเงินแก่พระ ไม่ได้ให้ต่อชุมชน ส่วนพระจะไปมอบต่อแก่ชุมชนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และการกล่าวปราศรัยในงานนั้น ไม่ได้แนะนำตัว แต่เป็นการพูดในงานบุญทั่วไปซึ่งไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง และยังปรากฏการให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นเท็จแตกต่างจากสำนวนการสอบสวนเดิม ในเรื่องการอยู่ในที่เกิดเหตุของผู้ถูกกล่าวหา

ทั้งนี้ ในอดีต กกต.เคยมีมติครั้งที่ 101/2550 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 ตอบข้อซักถามถึงแนวปฏิบัติตัวของผู้สมัคร ส.ส. ดังนี้

“ในกรณีที่มีงานประเพณี เช่น งานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า งานศพ งานแต่งงาน งานบวช งานขึ้นบ้านใหม่ งานเลี้ยงต้อนรับราชการ หรืองานเลี้ยงใดที่มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก หากพิธีกรหรือคณะผู้จัดงาน เชิญให้ขึ้นไปกล่าวเกี่ยวกับงานนั้นๆ เปิดงาน กล่าวอวยพร โดยมิได้กล่าวเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง และไม่มีการมอบเงินหรือทรัพย์ประโยชน์อื่นใดแก่คณะผู้จัดงาน สามารถกระทำได้”

บทเรียนของการให้ใบส้ม จึงเป็นบทเรียนที่เมื่อกฎหมายให้อำนาจแก่หน่วยงานใดแล้ว เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจในหน่วยงานนั้น พึงใช้อำนาจที่มีอยู่ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง เพื่อไม่เกิดผลเสียต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง และย้อนรอยกลับมาเป็นโทษแก่ตนเองโดยสังคมแทนที่จะยืนในฝั่งของความเห็นใจในการแบกรับหน้าที่ที่สำคัญ แต่กลับสะใจในการที่ต้องรับผิด

หารคนละ 10 ล้าน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ครับ