ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
อ่านใจปูตินผ่านคนวงใน (2)
: สงครามมีโอกาสขยายวง?
สัปดาห์ก่อนผมเขียนถึงคำให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียที่สะท้อนแนวคิดของผู้นำมอสโกที่ตัดสินใจส่งทหารเข้าบุกยูเครน
Sergey Karaganov เป็นนักวิเคราะห์การเมืองรัสเซียที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน และต่อมาถึงปูตินด้วย
จะเรียกว่าเขาเป็น “สายเหยี่ยว” ที่พูดจาภาษาเดียวกับปูตินก็ว่าได้
แต่เราไม่ค่อยจะได้ยินความเห็นของ “สายพิราบ” ในแวดวงใกล้ชิดกับผู้นำรัสเซีย
เพราะเสียงของ “สายพิราบ” อาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้รับการเผยแพร่นอกจากทำเนียบเครมลินของปูตินเลยก็เป็นไปได้
หลายประเด็นที่เขาตอบคำถามของ Corriere della Sera ซึ่งเป็นสื่อของอิตาลีน่าจะเป็นการบ่งบอกถึงวิธีคิดของปูตินว่าทิศทางของสงครามจะไปทางไหน
หนึ่งในคำถามคือจริงไหมที่ดูเหมือนเขาจะเชื่อว่าสงครามอาจจะไม่หยุดยั้งเฉพาะในยูเครน แต่อาจจะขยายวงไปยังประเทศอื่นๆ
นี่เป็นแนวโน้มที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” (คำที่ปูตินใช้บ่อยขึ้นในระยะหลัง) จริงหรือ?
Karaganov ตอบว่า “น่าเสียดายที่มัน (โอกาสขยายวงสงคราม) มีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเป็นเพราะอเมริกาและพันธมิตร NATO ยังคงสนับสนุนยูเครนโดยส่งอาวุธมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
หากยังเป็นเช่นนั้นต่อไป เขาเชื่อว่ารัสเซียก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องโจมตีเป้าหมายในยุโรปเพื่อหยุดยั้งเส้นทางลำเลียงอาวุธเหล่านั้น
นั่นแปลว่าสงครามก็อาจถูกยกระดับและบานปลาย
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมคิดว่าเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐก็มีความเห็นเช่นเดียวกับผม…” เขาบอก
นักข่าวอิตาเลียนตั้งประเด็นว่าปูตินต้องการจะให้ยูเครนเป็นประเทศ “ปลอดทหาร” (demilitarization) แต่พอรัสเซียบุกยูเครน สิ่งที่ตามมาดูเหมือนจะได้ผลทางตรงกันข้าม
เพราะพอยูเครนถูกโจมตีโดยรัสเซีย ประเทศตะวันตกก็ยิ่งส่งอาวุธมาช่วย
ยิ่งกว่านั้น ผลที่ตามมาก็คือเยอรมนีและอียูก็เริ่มเพิ่มแสนยานุภาพทางทหาร
อีกทั้ง NATO ก็ได้เคลื่อนทหารเข้ามาใกล้ชายแดนรัสเซียเพิ่มขึ้นอีก
มาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกต่อรัสเซียก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
อีกทั้งสหรัฐกับยุโรปก็มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นเพราะรัสเซียบุกยูเครน
อย่างนี้จะบอกว่าปฏิบัติการทางทหารพิเศษของปูตินประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
ที่ปรึกษาคนสำคัญตอบว่า
“ลัทธินาซี (Nazism) ไม่เพียงแต่จะเกี่ยวโยงกับลัทธิต่อต้านยิวเท่านั้น มันเกี่ยวกับการเกลียดชังและกดขี่ข่มเหงเชื้อชาติอื่นๆ ทั้งหมด และแนวโน้มเช่นนี้กำลังครอบงำ…”
Karaganov บอกว่าไม่มีทางจะบอกได้ว่าปฏิบัติการทางทหารจะจบเมื่อไหร่
คำว่า Demilitarization นั้นหมายถึงการทำลายกองกำลังทหารของยูเครน
“นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและจะยิ่งเร่งรัดมากขึ้น”
แต่หากยูเครนได้รับการสนับสนุนด้วยอาวุธใหม่ๆ ความลำบากยากเข็ญก็จะถูกลากยาวต่อไปอีก
“เราใช้คำว่าชัยชนะเป็นเพียงวลีที่ใช้กล่าวอ้างเท่านั้น เพราะทั้งฝั่งรัสเซียและยูเครนก็ได้รับความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินทั้งสองฝ่าย…”
เขาบอกว่าท้ายที่สุดรัสเซียก็จะได้รับ “ชัยชนะ” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ผมเชื่อว่าเราสามารถจะบรรลุเป้าหมายของ Demilitarization และ Denazification ด้วย…เหมือนที่เราทำสำเร็จในเยอรมนี (ในสงครามโลกครั้งที่สอง) และเชชเนียในเวลาต่อมา…และจากนั้น ชาวยูเครนก็จะสันติและจะเป็นมิตรกับเราด้วย…”
นักข่าวอิตาเลียนถามต่อว่า ในความเป็นจริงนั้น กองทัพรัสเซียต้องถอนกำลังหลังจากรอบๆ กรุงเคียฟหลังจากพยายามปิดล้อมหนึ่งเดือน
นั่นไม่น่าจะเรียกว่าเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ “ดำเนินไปด้วยดี” มิใช่หรือ?
ที่ปรึกษาใหญ่ของปูตินแย้งว่า
“มันเป็นปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงมีเคล็ดลับของวิถีทำสงครามในรูปแบบของตนเอง…”
“ทำไมไม่ลองคิดว่าปฏิบัติการรอบๆ กรุงเคียฟนั้นความจริงมีจุดมุ่งหมายเพื่อหันเหความสนใจของกองกำลังยูเครน เพื่อดึงให้ทหารยูเครนทิ้งความสนใจต่อแนวรบทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้…”
Karaganov พยายามจะบอกว่าที่เห็นว่าเป็นความล้มเหลวในปฏบัติการทางเหนือนั้นอาจจะเป็นการ “สับขาหลอก” ของฝ่ายรัสเซียก็ได้
และยังอธิบายว่ากองทหารรัสเซียมีความระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่โจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือน
“เราใช้อาวุธร้ายแรงเพียง 30-35% ที่เราสามารถใช้ได้เท่านั้น หากเราทุ่มใช้อาวุธร้ายแรงทุกอย่าง นั่นหมายถึงการทำลายเมืองต่างๆ ของยูเครนและชัยชนะที่เร็วขึ้นมาก…”
เขาอ้างว่าทหารรัสเซียไม่ได้วางระเบิดปูพรมเหมือนที่อเมริกันเคยทำในอิรัก
ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายสุดท้าย (Endgame) ของปูตินคืออะไร?
Karaganov ตอบว่า
“Endgame อาจจะเป็นข้อตกลงใหม่กับยูเครน…อาจจะเป็นไปได้ว่าข้อตกลงใหม่นี้ Zelensky ก็ยังอยู่ในตำแหน่ง…อาจหมายถึงการสร้างประเทศในยูเครนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นมิตรกับรัสเซีย…”
เขาบอกว่านี่เป็นจุด “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ยากที่จะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปลายเปิด เราอยู่ในหมอกแห่งสงคราม (Fog of war)…”
นักข่าวถามต่อว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าพลเรือนยูเครนตกเป็นเป้าหมายและสังหารในเมืองมาริอูโปล ในบูชา และที่อื่นๆ
นั่นเป็นองค์ประกอบของอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเป็นอย่างมาก เขาว่าอย่างไร
Karaganov โต้ทันควันว่าทั้งหมดนั้นเป็น “ข่าวปลอม” เป็นเรื่องการ “จัดฉาก” ทั้งสิ้น
ถามต่อว่าเมื่อต้องเจอกับการคว่ำบาตรเข้มงวดขึ้น รัสเซียจะพึ่งพาจีนมากขึ้นหรือไม่?
เขาตอบว่า “ไม่ต้องสงสัย เราจะบูรณาการกับจีนมากขึ้น และพึ่งพาจีนมากขึ้น แต่มันเป็นองค์ประกอบในเชิงบวก…”
เขาบอกว่า “ผมไม่ค่อยกลัวที่จะเป็นเบี้ยหมากรุกของจีนเหมือนที่บางรัฐในสหภาพยุโรปกลายเป็นเบี้ยของสหรัฐ…”
ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะประการแรก รัสเซียมีหลักแห่งอำนาจอธิปไตย ประการที่สอง วัฒนธรรมเราต่างจากคนจีน
“ผมไม่คิดว่าจีนมีเจตนาจะยึดครองเรา แต่ความจริงเราไม่ได้พอใจกับสถานการณ์นี้ เพราะผมต้องการเห็นเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับยุโรป แต่จีนเป็นพันธมิตรและเพื่อนที่ใกล้ชิดของเรา และเป็นแหล่งความแข็งแกร่งของรัสเซียที่ใหญ่ที่สุด รองจากชาวรัสเซียเอง เราเป็นแหล่งพลังของพวกเขา ผมอยากจะยุติการเผชิญหน้ากับยุโรปนี้…”
เขาบอกว่าสิ่งที่อยากเห็นคือการสร้างปีกตะวันตกที่ปลอดภัยเพื่อสามารถแข่งขันให้ได้ประสิทธิภาพกว่านี้…ในโลกเอเชียของพรุ่งนี้
แล้วเงื่อนไขสำหรับการหยุดยิงคืออะไร?
Karaganove สรุปเงื่อนไขว่า
“ประการแรก ยูเครนจะต้องเป็นประเทศที่ปลอดทหารโดยสมบูรณ์ ไม่มีอาวุธหนัก ไม่ว่ายูเครนจะเหลืออะไรแค่ไหนก็ตาม และเงื่อนไขนี้ควรได้รับการค้ำประกันโดยอำนาจภายนอก ซึ่งรวมถึงรัสเซียและหากประเทศผู้ค้ำประกันหนึ่งใดคัดค้านก็จะต้องไม่มีการซ้อมรบทางทหารในประเทศ…”
“ยูเครนควรเป็นเขตกันชนอย่างสันติ…และหวังว่ายูเครนจะส่งคืนระบบอาวุธบางส่วนที่นำไปใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา…”
ฟังคนใกล้ชิดปูตินคนนี้ตอบคำถามหลักๆ ที่ผู้คนทั่วโลกอยากรู้คำตอบแล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่าในท้านที่สุดปูตินคงไม่ยอมนั่งลงเจรจากับประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนง่ายๆ เลย