ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
มุมมุสลิม
จรัญ มะลูลีม
ซะอ์ดี กวีเอกของโลกชาวเปอร์เซีย (3)
กุลิสตาน เรื่องที่ 2
พระราชาองค์หนึ่งแห่งโครอซาน ได้ทรงพระสุบินเห็นสุลต่านมะห์มูดหลังจากที่สุลต่านสิ้นพระชนม์ไปแล้วหนึ่งร้อยปี เมื่อเรือนร่างทั้งหมดของสุลต่านได้แตกสลายและกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว มีแต่ดวงพระเนตรของพระองค์เท่านั้นซึ่งกลอกกลิ้งอยู่ในเบ้าตาและมองไปรอบๆ
นักปราชญ์ทั้งปวงไม่อาจอธิบายความหมายได้ นอกจากดาร์วิชผู้หนึ่งซึ่งหลังจากได้ทำความเคารพพระองค์แล้วก็กล่าวว่า “สุลต่านยังคงมองไปรอบๆ เพราะว่าอาณาจักรของพระองค์ตกเป็นของผู้อื่น”
มีคนที่มีชื่อเสียงจำนวนมากเมื่อพวกเขาถูกฝังลงไปในดินแล้วก็มิได้เหลือร่องรอยแห่งความเป็นอยู่ใดๆ ไว้บนหน้าผืนดินเลย ซากศพเก่าแก่ซึ่งพวกเขาฝังไว้ในหลุมศพ ร่างกายของเขาเน่าเปื่อยลงไม่เหลือแม้แต่กระดูกสักชิ้นเดียว พระนามอันน่าปราโมทย์ของนูชิรวานยังคงดำรงอยู่เนื่องมาจากความโอบอ้อมอารีของพระองค์ ถึงแม้ว่าฤดูกาลอันยาวนานจะได้ล่วงเลยไปตั้งแต่ทรงจากไปแล้วก็ตาม
จงทำดีเถิด โอ้มนุษย์เอ๋ย และจงนับว่าชีวิตของท่านมีผลกำไรก่อนที่รายงานจะแพร่ออกไปว่าคนคนนั้นมิได้ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว
กุลิสตาน เรื่องที่ 3
ฉันได้ยินเรื่องโอรสของกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งมีร่างเตี้ยไม่เป็นที่รักของผู้ใดในขณะที่พระเชษฐาและพระอนุชาทุกพระองค์มีร่างสูงและรูปงาม กษัตริย์ทอดพระเนตรดูพระองค์ด้วยความรังเกียจและดูถูก โอรสองค์นั้นเฉียบแหลมพอที่จะเดาความหมายนั้นได้จึงตรัสว่า
“โอ้พระราชบิดา! คนร่างเตี้ยที่ฉลาดนั้นดีกว่าคนร่างสูงแต่โง่เขลา มิใช่ว่าทุกสิ่งที่มีคุณค่าตามความสูงของมันเสมอไปก็หาไม่”
“แกะนั้นเนื้อตัวสะอาด ส่วนช้างเป็นสัตว์สกปรก ภูเขาที่ถือกันว่าเล็กที่สุดในโลกภูเขาหนึ่งคือ ภูเขาไซนาย (ภูเขาไซนายมีชื่อเช่นนี้เหมือนกัน แต่ประโยคนี้หมายถึง ภูเขาที่เล็กมากลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้นครเยรูซาเลมที่มีหลุมศพของนักบุญอยู่ตรงนั้น) แต่แท้จริงในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า มันยิ่งใหญ่และมีเกียรติที่สุด พระบิดาไม่ได้ยินสิ่งที่นักปราชญ์ผู้ผ่ายผอมซึ่งวันหนึ่งพูดกับคนอ้วนที่โง่เขลาดอกหรือ?”
“ม้าอาหรับตัวหนึ่งถึงแม้ว่าจะอ่อนแอ ก็ยังดีกว่าลาทั้งคอกทีเดียวนะพระเจ้าข้า”
พระราชาทรงพระสรวล ข้าราชสำนักทั้งหลายก็ปรบมือให้ แต่พี่น้องทั้งหมดต่างก็เสียใจยิ่งนัก
เมื่อผู้ใดยังมิได้กล่าวถ้อยออกมา ความบกพร่องและความเชี่ยวชาญของเขาก็ถูกปิดบังไว้ จงอย่าคิดว่าทะเลทรายทุกแห่งนั้นว่างเปล่า เพราะบางทีอาจจะมีเสือหลับอยู่ที่นั่นก็ได้
ฉันได้ยินว่าในสมัยนั้นได้มีศัตรูที่ทรงอานุภาพมารุกรานกษัตริย์และเมื่อกองทัพทั้งสองประจันหน้ากัน บุคคลแรกที่ขับม้าเข้าไปในสมรภูมิก็คือเจ้าชายผู้นี้ ทรงร้องออกมาว่า
“ข้าฯ ไม่ใช่ผู้ที่ท่านจะแลเห็นหลังในวันแห่งการต่อสู้ แต่จะได้เห็นหัวของข้าอยู่ในฝุ่นละอองและเลือด เพราะผู้ที่ต่อสู้คือผู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ส่วนผู้ที่หลบหนีไปนั้นก็คือผู้ที่เล่นกับโลหิตแห่งกองทหารของเขา”
หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็เข้าโจมตีกองทัพของฝ่ายศัตรู ฆ่านักรบผู้มีชื่อเสียงล้มตายลงเป็นอันมาก เมื่อกลับมายังวังพระราชบิดา พระองค์ทรงโค้งคำนับจนพระเศียรจรดพื้นและทูลว่า
“โอ้ท่านผู้เห็นรูปร่างของข้าฯ เป็นที่ดูถูกโดยไม่พิจารณาในพลังแห่งความกล้าหาญของข้าฯ ในวันที่มีการต่อสู้นั้น ม้าที่ผ่ายผอมย่อมมีค่ากว่าวัวที่ถูกขุนจนอ้วนพี” เล่ากันว่ากองทัพของฝ่ายศัตรูมีอยู่มากมาย และกองทัพของพระราชานั้นมีเพียงน้อยนิดและกำลังจะพ่ายแพ้ แต่เจ้าชายหนุ่มได้ตะโกนออกไปว่า
“จงออกแรงเหมือนดังบุรุษชาติเถิด เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ต้องสวมอาภรณ์ของอิสตรี”
ถ้อยคำเหล่านี้เพิ่มความเข้มแข็งให้แก่กองทหาร ดังนั้น พวกเขาจึงรวมกันเข้าโจมตีศัตรูพร้อมกัน มีรายงานว่าพวกเขาได้ชัยชนะแก่ศัตรูในวันนั้น พระราชาทรงจุมพิตพระเศียรและพระเนตรของโอรสและทรงกอดประทับพระองค์ไว้ในวงพระพาหุ ความรักความเอ็นดูของพระองค์ ซึ่งมีต่อโอรสองค์นี้ก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน จนกระทั่งในที่สุดพระองค์ก็ทรงแต่งตั้งโอรสองค์นี้เป็นผู้สืบราชสมบัติต่อไป
พี่น้องคนอื่นๆ ริษยาจึงได้ใส่ยาพิษลงในอาหารของเจ้าชาย แต่พระขนิษฐาของเจ้าชายทรงสังเกตเห็นจากพระบัญชรจึงทรงปิดบานเกล็ดลง เจ้าชายทรงเข้าใจสัญญาณนั้น จึงถอนพระหัตถ์ของพระองค์จากอาหารนั้นและตรัสว่า
“ถ้าคนฉลาดจะต้องตายเป็นไปไม่ได้ที่คนโง่จะมาแทนที่เขาได้ ไม่มีใครจะเข้าไปใต้ร่มเงาของนกเค้าแมว ถึงแม้ว่านกโฮมา (โฮมาคือนกในนิยาย มีลักษณะคล้ายนกฟีนิกซ์ เชื่อกันว่าขณะที่นกนี้บินอยู่บนท้องฟ้า หากเงาของมันทอดลงบนศีรษะผู้ใด ผู้นั้นย่อมจะได้ครองราชย์) จะถูกกำจัดจากโลกนี้”
เรื่องราวเหล่านี้ได้ทราบถึงพระราชบิดา พระองค์ทรงเรียกหาพี่น้องคนอื่นๆ และหลังจากทรงตำหนิพี่น้องเหล่านั้นอย่างสาสมแล้วก็ทรงแบ่งอาณาจักรของพระองค์ให้แก่แต่ละคน เพื่อว่าการต่อสู้และการทะเลาะเบาะแว้งจะได้สงบลง
“กล่าวกันว่าดาร์วิชสิบคนอาจนอนใต้ผ้าห่มเดียวกันได้ แต่ราชอาณาจักรเดียวไม่อาจมีพระราชาได้สององค์”
เมื่อคนใจบุญกินขนมปังไปครึ่งก้อนเขาก็ให้อีกครึ่งหนึ่งแก่คนยากจน
หากพระราชาพิชิตเจ็ดชั้นฟ้า (ตามภูมิศาสตร์มุสลิมโลกแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นฟ้า ความหมายก็คือหากพระราชาพิชิตโลกนี้ได้แล้วพระองค์ก็ย่อมใคร่จะพิชิตโลกอื่นอีก) ได้พระองค์ก็ยังโลภอยากได้ชั้นฟ้าอื่นอีกเช่นเดียวกัน
กุลิสตาน เรื่องที่ 4
โจรอาหรับกลุ่มหนึ่งได้มาตั้งมั่นอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งและปิดทางผ่านของกองคาราวานเสีย ผู้คนในดินแดนนั้นได้รับความทุกข์ยากด้วยจุดยุทธศาสตร์ของพวกมัน กองทัพของสุลต่านก็พ่ายแพ้พวกมันเพราะว่าพวกโจรมีป้อมค่ายอยู่บนยอดเขาและทำให้ที่มั่นนั้นเป็นที่อยู่ของพวกมัน บรรดาที่ปรึกษาของฝ่ายพระราชาได้ปรึกษาหารือกันในอันที่จะกำจัดความเดือดร้อนให้หมดไป เพราะว่าหากจะทนทุกข์อยู่ในสภาพนี้ต่อไป พวกโจรก็จะมีกำลังมากจนปราบไม่ไหว
ต้นไม้ที่เพิ่งจะหยั่งรากอาจจะดึงออกได้ด้วยแรงของมนุษย์ แต่หากว่าปล่อยมันไว้นานๆ อย่างนั้น แม้แต่เครื่องกว้านก็มิอาจจะโค่นมันได้ ต้นน้ำตกนั้นอาจใช้กริชเล็กอุดมันไว้ได้ แต่เมื่อมันกลายเป็นสายน้ำใหญ่แล้วช้างก็มิอาจลุยข้ามไปได้
พวกเขาจึงได้ตัดสินใจว่าจะส่งชายคนหนึ่งไปเป็นสายลับ รอโอกาสที่กองโจรออกไปโจมตีใครเสียก่อนและปล่อยที่พำนักของพวกมันให้ว่างเปล่า
พวกเขาจึงได้แยกคนที่เป็นที่ยอมรับกลุ่มหนึ่งออกให้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตามทางเดินในซอกเขา ในยามเย็นเมื่อกองโจรกลับมาจากการปล้นสะดมพร้อมด้วยของที่ปล้นมาได้ พวกมันก็ปลดอาวุธออกและเอาข้าวของที่ปล้นมากองไว้และเมื่อศัตรูคนแรกผู้โจมตีพวกเขาได้หลับไปแล้วจนกระทั่งประมาณปลายยามแรก (หนึ่งยามเท่ากับสามชั่วโมงของเรา) ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์คล้อยเคลื่อนเข้าไปในเงามืดและโยนาสเข้าไปในท้องปลาวาฬแล้ว พวกผู้ชายที่กล้าหาญก็กระโจนออกมาจากที่ซุ่มแล้วมัดมือของพวกโจรทุกคนไว้ทีละคน
ในตอนเช้าก็ได้พาพวกมันมาที่พระราชวัง เมื่อพระราชาทรงสั่งประหารพวกโจรทั้งหมดนั้นปรากฏว่าในหมู่โจรมีเด็กหนุ่มอยู่คนหนึ่งผู้เป็นดังผลไม้ที่ยังไม่สุก ความสดใสที่พวงแก้มของเขานั้นเปรียบประหนึ่งดอกกุหลาบตูมต้นฤดูใบไม้ผลิ
เสนาบดีผู้หนึ่งได้จุมพิตที่เชิงบัลลังก์ของพระราชาแล้วโค้งศีรษะของเขาจนติดพื้นเพื่อขอชีวิตให้เด็กหนุ่มผู้นั้นพลางกล่าวว่า
“เด็กหนุ่มผู้นี้ยังไม่เคยได้ลิ้มรสผลไม้จากสวนแห่งชีวิตเหมือนดังคนอื่นๆ และยังมิเคยได้รับความสำราญจากการเก็บเกี่ยวแห่งวัยหนุ่ม ข้าพเจ้าจึงบังอาจหวังว่าพระองค์จะทรงกรุณาเมตตาต่อคำอ้อนวอนจากทาสของพระองค์ด้วยการไว้ชีวิตเขาด้วย”
พระราชาไม่พอพระทัยจากคำพูดเหล่านี้เพราะมันไม่เป็นไปตามความเข้าใจอันรู้แจ้งของพระองค์ และพระองค์ทรงสังเกตเห็นว่ารากไม้ที่เลวย่อมจะไม่เจริญเติบโตได้ในร่มเงาที่ดูคล้ายกับดี “การให้การศึกษาแก่คนที่ไร้ค่าก็เหมือนกับการขว้างลูกมันฮ่อไปบนหลังคายอดกลม”
“การที่จะทำลายพวกเขาเสียทั้งหมดนั้นดีกว่า เพราะการดับไฟแต่ยังปล่อยถ่านที่คุแดงเอาไว้ หรือการฆ่างูพิษแต่เลี้ยงลูกงูไว้นั้น มิใช่เป็นการกระทำของคนฉลาด”
“ถึงแม้ว่าก้อนเมฆจักหลั่งน้ำแห่งชีวิตลงมา ท่านก็อาจเก็บผลไม้จากกิ่งของต้นหลิว (ต้นหลิวนั้นถือเป็นต้นไม้ที่ต่ำต้อยที่สุดชนิดหนึ่ง) ได้ จงอย่าได้เสียเวลากับคนเลวทรามต่ำช้าเลย เพราะว่าเรามิอาจหาน้ำตาลจากต้นกก (กกซึ่งเอามาทำเสื่อนั้นไม่อาจให้น้ำตาลได้เหมือนลำต้นอ้อย) ได้”
เมื่อเสนาบดีได้ยินคำกล่าวนี้จึงยอมรับอย่างเสียไม่ได้ เขากล่าวสรรเสริญความคิดของพระราชาโดยกล่าวว่า “ขอพระองค์ทรงมีพระชนม์ชั่วนิรันดรเถิด”