ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 เมษายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ในที่สุดศึกรัสเซียรุกรานยูเครนก็ครบรอบ 2 เดือนไปในวันที่ 24 เมษายน และถ้าคำนึงว่ารัสเซียบุกยูเครนบนความเชื่อว่าจะยึดกรุงเคียฟสำเร็จในไม่กี่วันด้วยยุทธวิธีสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) ระยะเวลาสองเดือนก็นานพอที่จะบอกว่ารัสเซียไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้เลย
แม้ในเวลานี้รัสเซียจะยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกและภาคใต้ของยูเครน แต่ตราบใดที่รัสเซียยังยึดเมืองหลวงยูเครนไม่ได้ ตราบนั้นโอกาสที่รัสเซียจะเผชิญกับการตอบโต้ของยูเครนก็ยังมีอยู่ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่กองทัพยูเครนได้อาวุธสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐและพันธมิตร
จริงอยู่ว่าสหรัฐและพันธมิตรส่งอาวุธช่วยยูเครนต่อสู้กับผู้รุกรานมาไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน แต่โดยส่วนใหญ่ยังไม่มีประเทศไหนส่งอาวุธหนักตามที่ยูเครนร้องขอ
ผลก็คือยูเครนมีอาวุธที่สามารถยันไม่ให้รัสเซียคืบหน้าในการรุกรานได้ แต่ยังไม่สามารถโต้กลับให้รัสเซียออกไปจากยูเครนได้จริงๆ
อย่างไรก็ดี อาวุธที่สหรัฐและประเทศอื่นๆ ส่งให้ยูเครนช่วงกลางเดือนเมษายนมีลักษณะที่ต่างไป เพราะมีตั้งแต่ขีปนาวุธ S-300 จากสโลวะเกีย, รถถัง T-72 และรถรบทหารราบจากเช็ก รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ Mi-17 กับปืนใหญ่ฮาวอิตเตเซอร์ และโดรนทำลายล้าง Swtichblade จากสหรัฐอเมริกา
ล่าสุด รัฐบาลอังกฤษประกาศจะส่ง “สตอร์เมอร์ เอชวีเอ็ม” (Stormer HVM) ให้ยูเครน เท่ากับว่ายูเครนจะมีรถหุ้มเกราะปล่อยจรวดนำวิถีด้วยเลเซอร์ที่ถล่มเป้าหมายได้หลายตำแหน่งพร้อมกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือกำลังจะได้รับยุทโธปกรณ์อานุภาพร้ายแรงที่สุดที่ตะวันตกส่งให้ยูเครน
ล่าสุดของล่าสุด นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ประกาศจะส่งอาวุธหนักให้ยูเครนต่อต้านรัสเซีย เช่นเดียวกับรัฐบาลฟินแลนด์ที่แถลงนโยบายเดียวกันนี้ด้วย จะมีก็แต่เยอรมนีที่ท่าทีเรื่องนี้ช้ากว่าประเทศใหญ่อื่นๆ ต่อให้อ้างว่าสนับสนุนการที่นาโตส่งอาวุธรัสเซียช่วยยูเครนก็ตาม
ถ้าเป็นแบบนี้ ยูเครนกำลังเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ที่มีอาวุธหนักอยู่ในมือมากขึ้น มีระบบป้องกันภัยจากการโจมตีทางอากาศที่แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งมียุทโธปกรณ์ที่จะฝ่ายโจมตีรัสเซียล่วงหน้ามากขึ้นด้วย
หรือแปลว่ามีความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะเปิดศึกกับรัสเซียผู้รุกรานได้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม
แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่มีวี่แววที่รัสเซียจะถอยทหารออกจากยูเครน เช่นเดียวกับไม่มีแววที่รัสเซียจะคืนดินแดนที่แย่งชิงไปให้ยูเครนด้วย สถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนจึงมีแต่จะยกระดับความรุนแรงและการเผชิญหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเห็นการหยุดยิงจากฝั่งใด
ขณะที่ยูเครนได้อาวุธสนับสนุนจากสหรัฐและพันธมิตรอื่นๆ ในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายน รัสเซียซึ่งถอนทหารจากกรุงเคียฟตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ก็น่าจะใช้ช่วงเวลานี้แก้ปัญหาซึ่งทำให้แผนบุกยูเครนของตัวเองไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่มีวี่แววที่รัสเซียจะถอยทหารออกจากยูเครน เช่นเดียวกับไม่มีแววที่รัสเซียจะคืนดินแดนที่แย่งชิงไปให้ยูเครนด้วย
สถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนจึงมีแต่จะยกระดับความรุนแรงและการเผชิญหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเห็นการหยุดยิงจากฝั่งใด
ในคืนวันที่ 19 เมษายน หลังจากยิงปืนใหญ่ถล่มเมืองใหญ่ของยูเครนติดต่อกันสามวัน รัสเซียก็โจมตีภูมิภาคดอนบาสด้วยจรวดจนผู้บังคับการทหารยูเครนระบุว่า “ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยอีก” ขณะประธานาธิบดียูเครนแถลงว่าสมรภูมิใหม่ของสงครามรัสเซียได้เริ่มต้นแล้วที่ภาคตะวันออกของยูเครนเอง
ผมเคยเขียนไว้ช่วงกลางเดือนที่แล้วว่ารัสเซียจะยึดเมืองหลวงยูเครานไม่สำเร็จเพราะปัญหาส่งกำลังบำรุง, วางแผนรบผิดจนทหารหมดสภาพ และถูกประชาชนยูเครนต่อต้าน แต่การโจมตีที่รัสเซียทำต่อยูเครนรอบใหม่นี้ชี้ว่ารัสเซียพยายามแก้ปัญหาทั้งสามข้อเป็นอย่างดี
ปัญหาคือรัสเซียจะทำให้สงครามรอบนี้เป็นอย่างไร
กองทัพรัสเซียได้ชื่อว่าอำมหิตตั้งแต่สงครามอัฟกานิสถานและซีเรีย และตลอด 2 เดือนที่ปูตินสั่งบุกยูเครน โลกก็ยิ่งพบหลักฐานความอำมหิตมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าแล้วทิ้งศพเกลื่อนถนน, เอาศพคนเป็นร้อยเทรวมกันในหลุมเดียว หรือการใช้อาวุธที่มีอนุสัญญาห้ามใช้อย่างระเบิดลูกปราย
ก่อนที่รัสเซียจะเปิดศึกใหม่กับยูเครน สื่อของรัฐบาลรัสเซียได้แสดงความต้องการยกระดับความรุนแรงต่อยูเครนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คำที่ใช้มีตั้งแต่การประกาศว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่วันที่เรือรบมอสควาโดนยิงจม, ความจำเป็นต้องใช้อาวุธเคมี รวมทั้งการไม่ยืนยันว่าจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์
ภาษาคือกลไกอุดมการณ์ ภาษาที่รัฐใช้จึงแสดงความต้องการของรัฐเสมอ รัสเซียทำศึกยูเครนรอบนี้โดยพร้อมใช้ความรุนแรงมากขึ้นแน่ๆ และแม้แต่นายกฯ ออสเตรียก็ประเมินหลังเจรจากับปูติน 75 นาที ว่าปูตินอยู่ใน “ตรรกะของสงคราม”
และรัสเซียมีโอกาสใช้ความรุนแรงที่อำมหิตกว่าที่ผ่านมา
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรัสเซียเปิดศึกที่ภาคตะวันออกยูเครน ผู้บัญชาการทหารยูเครนประจำภูมิภาคก็ประกาศให้ “พลเรือน” ทุกคนออกจากพื้นที่ก่อนจะสายเกินไป เหตุผลง่ายๆ คือยุทธวิธีของรัสเซียในการโจมตีแบบนี้คือยิงปืนใหญ่ปูพรมถล่มทั้งพื้นที่ และระยะเวลาในการยิงอาจยาวเป็นสัปดาห์
สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในความเหี้ยมโหดของรัสเซีย ยุทธวิธียิงปืนใหญ่ถล่มพื้นที่ติดต่อกันหลายวันคือหลักฐานของความโหดเหี้ยมอย่างที่สุด เพราะทหารที่ออกคำสั่งยิงไม่รู้ว่าตัวเองยิงใคร มีพลเรือนอยู่หรือไม่ ขณะที่ฝ่ายถูกยิงก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายจนวินาทีที่ระเบิดเผาผลาญตัวเองให้ตายไปจริงๆ
ปืนใหญ่ของรัสเซียมัรัศมีการยิงราวๆ 50-80 กิโลเมตร พื้นที่และคนยูเครนที่จะเป็นเป้านิ่งให้รัสเซียยิงจึงมีนับไม่ถ้วน ทางเดียวที่ยูเครนจะยุติการยิงได้แก่การหาจุดยิงปืนใหญ่ให้เจอ ทำลายให้ได้ และยิงเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ซึ่งทั้งหมดนี้คือการบีบให้สงครามครั้งนี้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
วิธียิงปูปืนใหญ่แบบปูพรมคือหลักฐานของการฆ่าไม่ยั้งมือ คนยูเครนที่ไม่อยากถูกฆ่ามีทางเลือกแค่อพยพไปจากพื้นที่ให้หมด
แต่นั่นก็หมายถึงการแห่หนีตายจนนำไปสู่ความโกลาหลต่างๆ รวมทั้งการเปิดพื้นที่ให้กองทัพรัสเซียส่งรถถังและทหารราบเข้ามายืดพื้นที่เป็นของตัวเองได้ทันที
ยูเครนจำเป็นต้องหยุดยั้งไม่ให้รัสเซียยิงข้ามพรมแดนตามใจชอบต่อไป และในเงื่อนไขที่การโจมตีแบบปูพรมของรัสเซียต้องมีการเสริมกำลังและกระสุนตลอดเวลา
ยูเครนซึ่งมีเรดาร์ระบุตำแหน่งปืนใหญ่อย่าง Q36 จึงมีเครื่องมือที่จะหาเป้าหมายในการยิงเพื่อทำลายการโจมตีนี้อย่างแน่นอน
ต้องไม่ลืมว่ายูเครนเพิ่งประสบความสำเร็จในทำลายเรือลาดตระเวนขนาดยักษ์ของรัสเซีย หัวใจของความสำเร็จการยิงเรือจากระยะไกลไม่ได้เป็นแค่เรื่องของขีปนาวุธสองลูก แต่คือการผสมผสานเทคโนโลยีด้านที่ตั้งทางทหารกับปฏิบัติการทหารจริงๆ ซึ่งยูเครนแสดงให้เห็นว่ามีแล้วอย่างดี
เมื่อคำนึงว่าปูตินต้องเร่งยึดยูเครนภาคตะวันออกให้ได้ก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม เพื่อใช้เรื่องนี้โฆษณาชวนเชื่อในพิธีรำลึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ารบชนะยูเครน แผนการรบของปูตินจึงต้องรุนแรงมากพอจะทำให้ยึดยูเครนได้ก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม แน่ๆ ซึ่งหมายความว่ายูเครนต้องเร่งตอบโต้รัสเซียด้วยเช่นกัน
โลกกำลังเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ที่เสี่ยงต่อความรุนแรงหรือสงครามครั้งใหญ่ยิ่งกว่าที่ผ่านมา