ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กันยายน 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
ยืดเยื้อมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ กับวิกฤตชาวมุสลิมโรฮิงญาที่เกิดจากการโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพม่าโดยกองกำลังปลดปล่อยชาวโรฮิงญาแห่งอาระกัน หรืออาซาร์ ที่โกรธแค้นต่อการถูกกดขี่ ลิดรอนสิทธิชาวโรฮิงญาโดยรัฐบาลพม่ามาหลายทศวรรษ ก่อนที่รัฐบาลพม่าจะตอบโต้ ส่งทหารเข้าปะทะจนทำให้รัฐยะไข่ลุกเป็นไฟ
เป็นผลทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาเกือบ 3 แสนชีวิตต่างหนีตายไปบังกลาเทศ เช่นเดียวกับชาวพุทธยะไข่ที่ต้องอพยพออกไป
และแน่นอนว่า ความสูญเสียได้เกิดขึ้นจากวิกฤตครั้งนี้ 440 ราย คือชีวิตที่ต้องถูกสังเวย
จนมาล่าสุด (10 กันยายน) อาซาร์ได้ประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวนาน 1 เดือน เพื่อเปิดทางให้องค์กรบรรเทาทุกข์สามารถส่งความช่วยเหลือเข้าไปพื้นที่ได้ หลังจากที่ถูกปิดกั้นในช่วงเกิดการปะทะจนค่ายผู้อพยพขาดแคลนเสบียง
ในขณะที่โลกความเป็นจริงกำลังตึงเครียด บนโลกออนไลน์ ต่างฝ่ายตั้งแต่คนธรรมดาจนถึงคนใหญ่คนโตต่างนำข้อมูลที่ตัวเองมี ทำสงครามข่าวกันอุตลุด
สงครามข่าวเริ่มขึ้น เมื่อชาวโรฮิงญา (แม้แต่คำว่า “โรฮิงญา” ยังเป็นเรื่องที่โต้เถียงกัน เพราะพม่าไม่เรียกคำนี้ แต่ใช้ชื่อเรียกโรฮิงญาว่า “เบงกาลี” หมายถึงกลุ่มชนจากพื้นที่ซึ่งเป็นบังกลาเทศในปัจจุบัน แม้แต่ไทยเองยังได้เปลี่ยนการอ่านจาก “โรฮิงญา” มาเป็น “โรฮีนจา”) ที่หนีข้ามบังกลาเทศเอาชีวิตรอดมาได้ เริ่มสื่อสารกับสื่อต่างประเทศว่า พวกเขาถูกทหารพม่าวางเพลิงเผาบ้านเรือนและไล่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ในช่วงกวาดล้างกองกำลังติดอาวุธอาร์ซา
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่องค์กรสิทธิที่ได้เข้าสังเกตการณ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อในลักษณะทำนองเดียวกันกับชาวโรฮิงญาที่หวาดกลัวและสิ้นหวัง
คำสัมภาษณ์ถูกเผยแพร่นำเสนอออกไปทั่วโลก จากนั้นตามด้วยภาพต่างๆ ที่ระบุว่าชาวโรฮิงญาถูกกดขี่ ถูกฆ่า บ้านเรือนถูกเผา โพสต์ขึ้นเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์จนแชร์ต่อกันหลายคน
ยกตัวอย่างเช่น ทวิตเตอร์ของ นายเมห์เม็ด ซิมเซก รองนายกรัฐมนตรีตุรกี ที่โพสต์ภาพศพลอยอืดบนแม่น้ำ โดยระบุว่าเป็นชาวโรฮิงญาที่ถูกสังหาร
แต่ต่อมาได้มีข้อโต้แย้งว่าไม่ใช่ภาพที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่และหรือแม้แต่ไม่ได้ถูกถ่ายในพม่า ซึ่งนายซิมเซกได้ลบทวีตดังกล่าวแล้วพร้อมขอโทษในความผิดพลาด
หรือในกรณีที่เป็นการนำเสนอข่าวโดยสำนักข่าวต่างประเทศ ได้ทำให้เกิดความไม่พอใจและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์พุ่งตรงไปยัง นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1997 ที่ยังคงเก็บตัวเงียบหรือไม่กล่าวถึงอะไรต่อการเผาบ้าน ไล่ฆ่าชาวโรฮิงญา
จนต่อมา (6 กันยายน) นางซูจีได้แถลงต่อสื่อเป็นครั้งแรก ยืนยันว่าทำหน้าที่ปกป้องพลเรือนทุกคนในรัฐยะไข่อย่างเต็มที่ พร้อมประณาม “กลุ่มก่อการร้าย” ที่เผาบ้านเรือน และสร้างข่าวบิดเบือนในเหตุการณ์นี้ว่าเป็นฝีมือทหารพม่า แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงชาวโรฮิงญาที่อพยพไปชายแดน
สิ่งนี้ รัฐบาลพม่าต้องการสื่อกับทั้งโลกว่า เหตุการณ์ในรัฐยะไข่ รวมถึงการเผาบ้านหรือเข่นฆ่าชาวโรฮิงญา เป็นฝีมือผู้ก่อการร้าย หรืออีกนัยหนึ่งคือ ชาวโรฮิงญาเข่นฆ่ากันเอง ทหารพม่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือลงมือ แค่ทำหน้าที่รักษาความสงบ
และยังบ่งบอกว่า พม่ากำลังตอบโต้สิ่งที่สื่อต่างประเทศเสนอหรือข้อมูลใดที่ถูกเผยแพร่โดยไม่ได้มาจากฝั่งของตัวเองว่าเป็น “ข่าวปลอม” หรือ “ข้อมูลเท็จ”
และในขณะตั้งรับกับข่าวที่ถาโถมใส่ พม่าก็เริ่มเล่นบทรุกบ้าง โดย นายซอว์ เทว์ โฆษกรัฐบาลพม่า ได้ทวีตภาพชุดหนึ่งโดยระบุว่า พวกเบงกาลีกำลังรวมตัวจุดไฟเผาบ้านพวกเขาเอง พร้อมชี้ภาพกลุ่มผู้หญิงสวมญิฮาบ
แต่ชาวเน็ตตั้งข้อสังเกตว่าสิ่งที่คลุมหัวผู้หญิงกลุ่มนั้น เหมือนผ้าเสื่อประดับโต๊ะ ไม่ใช่ญิฮาบแบบที่มุสลิมีนสวมใส่ ถึงอย่างนั้น นายซอว์ เทว์ กลับไม่ได้ลบทวีตนั้น
แต่ นายซอว์ เทว์ กลับไม่ขอโทษชาวเน็ตเหมือนนายซิมเซก และ นายซอว์ เทว์ ไม่ได้โพสต์ครั้งเดียว แต่ได้ทวีตภาพอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่เป็นข้อมูลคลาดเคลื่อน
สงครามข่าวครั้งนี้ เกิดขึ้นคล้ายกับครั้งที่แล้วเมื่อปี 2016 ในช่วงการกวาดล้างชาวโรฮิงญาจนทำให้ชาวบ้านหลายหมื่นหนีตาย และยังคงปราศจากข้อมูลอย่างรอบด้านจากผู้สังเกตการณ์ เพราะถูกรัฐบาลพม่าหวงห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน สื่อต่างประเทศรับรู้ข้อมูลจากปากชาวโรฮิงญาที่กล่าวทั้งน้ำตา แต่ยังไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ หรือต่อให้เข้าไปได้ก็เป็นการพาเข้าไปโดยทหารพม่า ที่ต้องการให้เห็นในสิ่งที่รัฐบาลพม่าต้องการให้เห็นเท่านั้น
อย่างที่ นายโจนาธาน เฮดด์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ได้ลงพื้นที่กับคณะเจ้าหน้าที่ของทางการพม่า ลงสำรวจความเสียหาย พูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดูที่ทางการพม่าจัดหามา ซึ่งข้อมูลที่ได้ก็เป็นสิ่งที่ทางการพม่าต้องการให้เป็น
นี่คือ ปัญหาของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความขัดแย้ง ที่แรกๆ มักเต็มไปด้วยความคลุมเครือ กว่าจะพิสูจน์ได้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวทั้งหมด
แต่อย่างที่ได้แสดงจากกรณีนายซิมเซกและนายซอว์ เทว์ นั้นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ของสงครามข่าวในวิกฤตชาวโรฮิงญา แต่ลึกกว่านั้น ข้อมูลที่ต่างนำมาเผชิญหน้ากัน ยังสะท้อนเชื้อของความเกลียดชัง ไม่เพียงแค่ระหว่างคู่ขัดแย้งระหว่างชาวพม่าที่ให้ความเห็นแบบเดียวกับรัฐบาลเท่านั้น และสื่อต่างประเทศที่เสนอแต่ความน่าสงสารของชาวโรฮิงญา
แม้แต่ผู้อ่านกลุ่มที่ 3 ยกตัวอย่างเช่น ผู้อ่านชาวไทย ยังสะท้อนต่อวิกฤตดังกล่าว ผ่านคอมเมนต์ที่ทั้งกลัวทั้งชัง บวกกับความระแวงต่อภัยจากแนวคิดอิสลามสุดโต่ง ทำให้โยงไปถึงว่ากลุ่มติดอาวุธอย่างไอเอสจะต้องเข้ามาสร้างสถานการณ์ให้ลุกลาม
ด้วยความไม่รู้ บวกกับข่าวสารที่พยายามสื่อสารออกสู่ภายนอกได้จำกัด บวกกับอคติส่วนตัวที่มี ทำให้การตัดสินใจหรือการสะท้อนเหตุการณ์ผ่านความคิดเห็น กลายเป็นเชื้อไฟ เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่สุมให้พอกพูนเพิ่มมากขึ้น นับเป็นเรื่องที่ควรระวังอย่างที่สุด
เช่นนี้แล้ว สิ่งแรกที่ควรตระหนักเมื่อรับข่าวสารโดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งคือ อย่าด่วนสรุป ให้เวลากับสิ่งนั้นพร้อมกับตั้งคำถามว่า ข้อมูลน่าเชื่อถือแค่ไหน ไม่ว่าจะมาจากไหน แม้แต่ฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุน
หาไม่แล้ว เราทุกคนจะจมอยู่กับอคติบนความเชื่อหรือมุมมองของตัวเอง ไม่ได้รับความกระจ่างกับเรื่องที่ได้รับรู้อีก
ส่งผลทำให้เราตัดสินเรื่องต่างๆ บนความสับสนและข้อมูลที่ขาดความรอบด้าน ไม่รู้ว่า “ความจริง” ของปัญหาคืออะไร อย่างที่มีคนกล่าวไว้ “เมื่อสงครามเริ่มขึ้น “ความจริง” มักตายก่อน”