บางอย่างในความรักของเรา (6) / อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (6)

 

ผมเดินตามหลังปิ่นไปจนถึงโรงอาหารริมน้ำข้างคณะเศรษฐศาสตร์ เนื่องด้วยว่ามันเป็นเวลาพักกลางวัน ปริมาณนักศึกษาที่อยู่ในโรงอาหารจึงแน่นขนัด โชคดีเป็นของปิ่นและเพื่อนร่วมคณะ พวกเธอได้โต๊ะนั่งยาวริมน้ำ

ผมนั่งลงที่โต๊ะร่วมกับเพื่อนนักศึกษาคณะอื่น โต๊ะของผมไม่ไกลจากโต๊ะของปิ่น และเมื่อผมมองปิ่นอย่างถนัดตาผมพบว่ามีหลายสิ่งบนตัวเธอที่แปลกตาออกไป

นับตั้งแต่ชุดนักศึกษา ปิ่นไม่ได้ใส่เสื้อตัวหลวมโคร่งเหมือนดังแต่ก่อน หากแต่อยู่ในชุดนักศึกษาที่มีขนาดพอดีตัวอันเน้นให้เห็นถึงส่วนโค้งส่วนเว้าของสรีระประจำตัว

ไม่นับกระโปรงสีดำที่สั้นจนแลเห็นท่อนขากลมกลึง อีกทั้งเธอยังแต่งหน้าด้วยแป้งและเขียนคิ้วจนดำขลับ ในตอนที่ปิ่นเดินไปสั่งอาหาร นักศึกษาชายหลายคนมองตามร่างของเธอ

ความรู้สึกหึงหวงปะทุขึ้นในตัวผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีอาการจุกและเจ็บที่หน้าอกของผม ผมหายใจไม่สะดวกดังเคย เป็นความรู้สึกของคนที่เหมือนกำลังจะสูญเสียบางอย่างไป

ผมมัวแต่หมกมุ่นกับโลกส่วนตัวของตัวเองและปล่อยปละละเลยความสัมพันธ์ให้มันดำเนินไปแบบไร้จุดหมาย ผมยังมีปิ่นอยู่ในใจนั่นเป็นของแน่

แต่ผมอยากมีเธอตลอดไปหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องไถ่ถามตนเอง

 

ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของความรัก เจ้าของคนรัก และเจ้าของสิ่งที่ถูกรักมันเป็นเช่นนี้เองกระมัง เราอาจไม่ได้ปรารถนาเขาหรือเธอเช่นเดิม ความรักของเราอาจไม่เร่าร้อนรุนแรงดังเดิม แต่กระนั้นเราก็ไม่พร้อมเลยที่จะสูญเสียบุคคลผู้นั้นหรือใครคนนั้นไป

เราเพียงแต่อบอุ่นใจที่มีสิ่งนั้นและยินดีที่เห็นใครหรืออะไรก็ตามอยู่ในสายตาแม้ว่าลึกๆ แล้วเราอาจจะไม่มีความผูกพันใดๆ กันอย่างมากพอก็ตามที

สิ่งนี้ไหมที่ฌอง ปอล ซาร์ต และซีโมน เดอ โบวัวร์ ได้เผชิญในวัยหนุ่มสาวของพวกเขา ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของและต้องการให้ใครอยู่ในพื้นที่ของตนแม้ว่าจะหมายถึงการกักขังและการไม่ปล่อยให้พวกเขามีเสรีภาพอย่างที่ควรจะเป็นก็ตามที ความรู้สึกแบบนี้ไหมที่ซาร์ตและซีโมนได้นั่งลงเจรจากัน

พวกเขาต้องเลือกใช่ไหมระหว่างความรัก เสรีภาพและการเติบโต

พวกเขาต้องเลือกใช่ไหมระหว่างความรักที่แท้จริงที่ปรารถนาจะเห็นอีกฝ่ายมีความสุขและการยึดมั่นให้ใครสักคนเป็นสิ่งที่เราต้องการในรูปแบบของเรา

ผมนั่งจมอยู่กับคำถามดังกล่าวอย่างเนิ่นนาน ภาพของปิ่นที่หัวเราะหยอกล้อและมีความสุขกับเพื่อนของเธอโดยไม่มีผมทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด โลกที่มีความสุขของคนรักที่ปราศจากเราทำให้เรารู้สึกหนาวเหน็บได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ

ผมนั่งอยู่กับความรู้สึกสับสน โกรธขึ้ง หึงหวง นานนับชั่วโมงจนปิ่นและเพื่อนของเธอเดินออกจากโรงอาหารนั้นไป เธอคงกลับเข้าห้องเรียนในช่วงบ่ายในขณะที่ผมหมดความต้องการที่จะศึกษาหาความรู้ในวันนั้นเสียแล้ว

ผมลุกออกจากโต๊ะอาหาร ตรงไปยังร้านขายเครื่องดื่ม สั่งกาแฟร้อนหนึ่งแก้วที่มาพร้อมกับน้ำชาร้อน สนนราคาห้าบาทของมันเป็นราคาที่เหมาะกับนักศึกษาที่ยังหาเงินเองไม่ได้อย่างผม บุหรี่ที่แบ่งขายเป็นตัวๆ ถูกสอดวางอยู่ในซองพลาสติกในราคาตัวละหนึ่งบาท ผมซื้อบุหรี่กรองทิพย์ที่มีรสชาติขื่นคอเป็นจำนวนสองตัวและไม้ขีดอีกหนึ่งกลักก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งเป็นโต๊ะริมน้ำตัวที่ปิ่นนั่งอยู่ในชั่วโมงก่อน

ผมจิบกาแฟสำเร็จรูปแก้วนั้น มันขมและปร่า รสขมของมันมีความหนักหนาหนักหน่วงขึ้นเมื่อผมจุดบุหรี่สูบตามมา

หากผมยังต้องการปิ่นในฐานะคนรัก ผมควรทำตัวเช่นไร นั่นคือคำถาม มีคู่รักหลายคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยชั้นมัธยมปลาย เพื่อนสนิทต่างห้องคนหนึ่งของผมก็ทำเช่นนั้น เพียงแต่คนรักของเขาอยู่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง

เขาบอกกับผมว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักเดินหน้าและชัดเจนขึ้นเมื่อพวกเขา “นอน” กัน

ผมตกใจเมื่อได้ยินคำสารภาพเช่นนั้นในครั้งแรก แต่เมื่อเขายืนยันว่ามันเป็นความสมัครใจของทั้งคู่ ผมก็รู้สึกสับสน ในหัวสมองของผมการมีอะไรกับปิ่นดูเป็นสิ่งที่ห่างไกลเหลือเกินในโลกความเป็นจริง ผมยังไม่เคยจับมือของเธอ ไม่เคยคิดเลยไปถึงการจูบหรือกอด ความรู้สึกเยี่ยงคนรักของเราเกิดขึ้นจากการตกลงทางวาจาเท่านั้น

ปิ่นยอมรับผมในฐานะคนรัก และผมเองก็ยอมรับเธอในฐานะดังกล่าว

นอกจากข้อตกลงนั้น เราไม่เคยมีสัมผัสทางกายซึ่งกันและกันเลย

 

ผมสูบบุหรี่สองตัวนั้นจนหมด ริมฝีปากของผมขมเกินทน ผมลุกไปสั่งกาแฟอีกแก้ว และเมื่อจิบกาแฟแก้วนั้นผมก็พบว่าผมลืมเอาต้นฉบับงานแปลของผมให้อาจารย์นพพรได้ดู การได้เห็นภาพของปิ่นพาผมออกจากความตั้งใจเดิมเสียสิ้น จนแม้กระทั่งการหาอาหารใส่ท้องผมก็ละเลยมัน

ผมดื่มกาแฟแก้วนั้นจนหมด หยิบสมุดและกระเป๋าสะพาย ผมเดินอย่างหมดแรงไปที่ห้องสมุด ตรงขึ้นไปยังที่นั่งประจำของผมที่ชั้นบนสุด ผมเลือกหนังสือประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศฝรั่งเศสมาอ่านเพื่อผลาญเวลา แต่หลังจากพลิกหน้ากระดาษในนั้นไปมาได้ชั่วครู่ ผมก็หมดความพยายาม

“ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วหรือ” ผมเขียนข้อความนั้นลงในสมุดจดคำบรรยายของตนเอง

ผมจำเป็นต้อง “นอน” หรือมีอะไรกับปิ่นกระนั้นหรือเพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่ การแนบเนื้อกายของเราให้ชิดสนิทกันจะผูกพันเราทั้งคู่มากขึ้นจริงดอกหรือ ผมเองไม่แน่ใจ

แต่การบอกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ดูไม่ช่วยอะไรด้วยเช่นกัน ผมบอกรักปิ่นมาสองหรือสามครั้ง และทุกครั้งปิ่นก็ตอบกลับมาเช่นเดียวกันกับผม

ความรักของเราทั้งคู่ดูบริสุทธิ์เกินไป หรือว่าความรักของเราทั้งคู่ดูเลื่อนลอยเกินไปกันแน่ มันคือหนทางแบบไหนกันที่เรากำลังเดินดุ่มไป ผมมีความปรารถนาในตัวปิ่นหรือไม่ ณ วันนี้เมื่อเห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบนตัวเธอ ผมคิดว่าผมมีความปรารถนาดังกล่าวแน่นอน

ปิ่นไม่ใช่เด็กสาวที่มีเพียงภาพแห่งความประทับใจดังเดิม หากแต่ปิ่นได้เปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมด้วยเลือดเนื้อและเหมาะสมที่จะถูกรักและกอดในฐานะของคนรักมากกว่าการเป็นเพียงใครบางคนที่ผมเลือกใช้เป็นบททดสอบด้านอุดมการณ์แห่งความรัก

เมื่อเวลาบ่ายคล้อย ผมก็สรุปอย่างแน่นอนใจว่าผมตัดสินใจที่จะขอมีเพศสัมพันธ์กับปิ่น ผมจะบอกกับเธออย่างตรงไปตรงมาว่าในฐานะของคนรัก เราควรรู้จักกันและกันให้มากยิ่งขึ้น และไม่มีอะไรที่จะทำให้เราได้รู้จักกันแน่นแฟ้นไปกว่าการเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้ากันและกัน

การได้สำรวจร่างกายของกันและกัน การได้สัมผัสกันและกัน การได้ร่วมรัก โอบกอด สอดใส่ กันและกันทั้งหมดนั้นคือกิจกรรมเก่าแก่ของมนุษยชาติ

และเราทั้งคู่ควรเริ่มต้นทำกิจกรรมเหล่านั้นเสียที

 

ผมลงมาที่ชั้นล่างของห้องสมุด ยืมหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนั้นซึ่งผมรู้ดีว่าผมจะไม่ได้อ่านมันจนถึงกำหนดเวลาคืน ผมเดินออกจากห้องสมุด ตรงไปที่คณะของปิ่น ผมเลือกที่นั่งบนอัฒจรรย์ไม้ข้างสนามฟุตบอล ยังไม่ได้เวลาเลิกเรียนในวิชาสุดท้ายของวัน ผมนั่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีอะไรทำ ในด้านหนึ่งผมนึกถึงการซื้อบุหรี่มานั่งสูบเพื่อฆ่าเวลา แต่วันนี้ผมสูบบุหรี่มากเกินไปแล้ว ริมฝีปากที่ยังขมไร้การรับรู้รสอื่นบอกผมเช่นนั้น

เสียงสัญญาณหมดเวลาเรียนประจำวันดังจากห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่ง ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง ชะเง้อมองดูนักศึกษาทุกคนที่ลงจากคณะของปิ่น มีนักศึกษาบางคนที่ผมคุ้นเคยว่าเป็นเพื่อนของปิ่นเดินลงจากบันไดคณะ แต่ผมยังมองไม่เห็นแม้วี่แววของปิ่น ราวครึ่งชั่วโมง ไม่มีนักศึกษาคนใดเดินออกจากคณะแล้ว ผมปัดฝุ่นที่ติดอยู่กับกางเกงสีดำของผม หยิบสมุดจดคำบรรยายและหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นถือก่อนจะใส่มันลงในกระเป๋าสะพาย ผมเดินตรงไปที่ก๊อกน้ำข้างคณะของปิ่น มันเป็นก๊อกน้ำสาธารณะที่นักกีฬาผู้ผ่านการเล่นกีฬาจากในสนามมักถือวิสาสะพึ่งพาน้ำจากก๊อกนั้นทำความสะอาดหน้าตาของพวกเขา

แม้ผมจะไม่ได้เล่นกีฬาใดในวันนั้น แต่ผมก็รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรง ผมเปิดน้ำในก๊อกล้างหน้าตาตนเองสองถึงสามรอบก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าสะพายเพื่อใช้ซับหยดน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า

ผมหลับตาลงสนิทปล่อยให้ตนเองอยู่ในความมืดระหว่างการทำความสะอาดเช่นนั้น

และเมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพของปิ่นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าผม •