คำ ผกา | เป็นพลเมืองโลกให้มาก เป็นไทยให้น้อยลงกันเถอะเรา

คำ ผกา

ปรากฏการณ์มิลลิที่ไปแสดงคอนเสิร์ตบนเวทีที่เป็นระดับ “อินเตอร์” กลายเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เราเห็น “สังคมไทย” และเป็นสังคมไทยที่ฉันรู้สึกสะเทือนใจ

มิลลิในฐานะประชาชนเคยทวีตวิจารณ์การทำงานของประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล จากนั้นโดนแจ้งจับข้อหาดูหมิ่นประยุทธ์ สุดท้ายต้องเข้าสู่กระบวนการรับสารภาพ จ่ายค่าปรับ และทั้งหมดมันแสดงให้เห็นถึงความวิปริตของประเทศแล้วในระดับหนึ่ง

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ เธอได้ชื่อว่าเป็น “ศิลปินขวัญใจสามกีบ” อันเป็นฉายาที่ “สลิ่ม” ตั้งให้ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในความวิปริตของสังคม เพราะการที่มนุษย์คนหนึ่งต้องการให้ประเทศที่ตนเองอยู่อาศัยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญและสากลอย่างยิ่ง มิพักต้องพูดว่าการวิจารณ์รัฐบาลและผู้บริหารประเทศก็เป็นเรื่องปกติ แต่ในประเทศไทย การสมาทานคุณค่าสากลอย่างประชาธิปไตย กลับเป็นเรื่อง “ประหลาด/ไม่ปกติ/ขบถ”

จนวันหนึ่ง คนคนนี้ได้รับการยอมรับจาก “โลกสากล” ก็มีปฏิกิริยาที่น่าสนใจอีก

หนึ่ง สลิ่มคลั่งชาติทำตัวไม่ถูก เพราะโดยทั่วไปแล้ว เรื่องแบบนี้สลิ่มชอบมาก ได้หน้าได้ตา รู้สึกมงลงประเทศไทย คุยฟุ้งไปสามเดือนหกเดือน ประเทศไทยไม่แพ้ใครในโลก

แต่คราวนี้คนที่ไปยืนอยู่บน “โลกนอกกะลา” นั้นดันเป็นคนที่ตัวเองเรียกว่า “พวกชังชาติ” เลยไปไม่เป็น พอไปไม่เป็น เลยพยายามดิสเครดิตว่า ไปเพราะแทรกคิว, ไปแล้วไปกินอะไรบนเวทีทำไม ไม่มีมารยาท (เขาไม่ไปประกวดมารยาท), ไปทั้งทีทำไมไม่โชว์ความเป็นไทย, ไปอยู่ตรงนั้นประจานบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง รับงานใครมาหรือเปล่า จัดฉากหรือเปล่า ฯลฯ

ส่วนฝ่ายที่เกลียดเผด็จการ ซึ่งก็มีปมด้อยในตัวเองอีกแบบคือมีปมด้อยว่าเป็นที่รังเกียจของอำนาจกระแสหลัก ถูกสลิ่มกดหัวมานาน คราวนี้ ศิลปินฝ่ายเราเจ๋งกว่าพวกมันเว้ย ภูมิใจว่ะ เกิดอาการได้ทีขี่แพะไล่เบาๆ แถมเนื้อเพลงของมิลลิยังด่ารัฐบาลว่าบูด โอ๊ยย ฟิน

ส่วนอีกขั้นหนึ่งของภาวะรู้สึกถึงปมด้อยในตัวเองก็สะใจที่มิลลิร้องเพลงว่า กูไม่ได้ขี่ช้าง ฟังแล้วก็กรี๊ดว่า นี่นะ อีพวกฝรั่ง ignorance มาแหกตาดูสิ ประเทศกูไม่ได้บ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างที่แกเข้าใจนะ ประเทศชั้นก็มีอะไรดีๆ เว่ย มีข้าวเหนียวมะม่วงนะเว่ย

ซึ่งเราลืมไปเลยว่า คนที่มาฟังดนตรีเขาเสพดนตรี เนื้อหาดีก็ดี แต่นั่นไม่ใช่หัวใจหลัก เพราะมิลลิขอเป็นนักร้อง เขาไม่ได้ทำทุกอย่างออกมาเพื่อเป็นนักร้อง เพื่อชีวิต หรือเป็นนักเคลื่อนไหวอะไร เขาก็แค่มีสำนึกที่ถูกต้องต่อโลก ต่อการเมือง สังคม ความเป็นธรรมอย่างสามัญธรรมดา แต่เราอยู่ประเทศที่ประชาธิปไตยเป็นของประหลาด

เราจึงรู้สึกเหมือนมิลลิพาม็อบเรียกร้องเผด็จการของเราไปยืนบนเวทีโลก – มงลงอีกหนึ่ง

ความประหลาดถัดมาคือ เราคนไทยถูกเซ็ตระบบความคิดอย่างอัตโนมัติว่าการไปเวทีโลก = ต้องไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ความเป็นไทย หรือปัจจุบันเรียกกันอย่างผิดๆ ว่า ซอฟต์พาวเวอร์

ใครที่ไปปรากฏตัวบนเวทีโลก เธอมีหน้าที่ทำให้คนทั้งโลกมองประเทศไทยด้วยสายตาที่ดีขึ้น

และในขณะที่เราเชื่อเช่นนั้น เราไม่ได้คิดว่า ก่อนที่เราจะให้โลกเห็นว่าเราดี เราน่านับถือนั้น ในความเป็นจริง เราดีขึ้นแล้วหรือยัง?

เราได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งโสเภณี แทนที่เราจะแก้ไขปัญหา เช่น ยกระดับคุณค่าสิทธิมนุษยชนด้วยการให้กฎหมายแรงงามคุ้มครองคนในอาชีพบริการ รวมทั้งอาชีพบริการทางเพศ เรื่องนี้จะทำให้เราได้รับการยกย่องนับถือว่า ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์

สิ่งที่เราชอบทำคือ “นี่ๆ พวกคนไทยทั้งหลาย ผู้หญิงไทยทั้งหลาย เวลาจะพรีเซนต์ประเทศไทยช่วยบอกชาวโลกด้วยนะ ว่าประเทศไม่ได้มีแต่กะหรี่ เรามีคนดีๆ สวยๆ มีสมองอีกตั้งเยอะ เรื่องกะหรี่เป็นเรื่องที่เราโดนใส่ร้าย แล้วหญิงไทยน่ะ เวลาไปอยู่เมืองนอก อย่าไปแต่งตัวให้เหมือนกะหรี่ล่ะ โลกเขายิ่งจ้องจะดูถูกอยู่”

กรณีมิลลิก็เช่นกัน เขาเป็นนักร้อง เขาไปทำงานของเขา เราคนไทยจะไปยัดเยียดให้เขาเป็นพีอาร์ของประเทศไปเพื่อ? แถมยังอยากให้พีอาร์ในแบบที่เราอยากเห็นไปอี๊ก!

เสร็จเรื่องมิลลิ สิ่งแรกที่คนไทยจะต้องทำคือรีเซ็ตระบบคิดของตัวเองใหม่ว่า ไม่มีคนไทยคนไหนมีหน้าที่เป็นพีอาร์ของประเทศ เราเกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศหนึ่ง เราเสียภาษี เราไปเลือกตั้ง และเรามีชีวิตของเราเอง

เราไม่ได้มีหน้าที่ปกป้อง เผยแพร่ สร้างชื่อเสียงอะไรให้ประเทศทั้งนั้น เพราะชื่อเสียงของประเทศ เขาไม่ได้วัดกันว่าใครพีอาร์เก่งกว่ากัน และ “ชื่อเสียง” ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสร้างให้ตัวเอง แต่เป็นสิ่งที่โลกใบนี้เขาเรียกว่า “ได้รับการยอมรับ”

เกาหลีเหนือจะเล่นกายกรรมเปียงยางเก่งแค่ไหน เตะฟุตบอลแก่งแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้มีชื่อเสียงหรือได้รับการยอมรับ

สังคมโลกใบนี้เขายอมรับกันที่ประเทศไหนให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์

ประเทศที่เข้าข่ายนี้ต่อให้ไม่ส่งนักกีฬาไปแข่งโอลิมปิกเลย ก็จะได้รับการยอมรับ นับถือ ยกย่องอยู่ดี

ความประหลาดอีกประการที่พบคือ เหล่าคนวงการบันเทิงที่มีมายด์เซทสำเร็จรูปว่า “ศิลปินไทยไม่แพ้ใครในโลกแต่ขาดการสนับสนุนจากรัฐ” อันนี้ก็เพี้ยน

อุปสรรคของวงการบันเทิง และ creative economy ไทยคือ เผด็จการ อำนาจนิยม การจำกัดเสรีภาพ กฎหมายเซ็นเซอร์ วาทกรรมล้างสมอง และตราบเท่าที่ทุกอุตสาหกรรมของประเทศไทยอยู่ในมือนายทุนสาม-สี่คน ความเจริญก้าวหน้าในวงการบันเทิงไทยจะไม่มีวันเกิดขึ้น

การสนับสนุนวงการบันเทิงโดยรัฐบาลเผด็จการ เขาไม่เรียกว่าการสนับสนุน creative economy เขาเรียกว่า การทำสื่อของรัฐเพื่อล้างสมองประชาชนและเพื่อสนับสนุน regime เผด็จการ

ดังนั้น การรับเงินจากภาครัฐจึงไม่ต่างอะไรจากการตกเป็นกระบอกเสียงหรือเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐเผด็จการในการทำโฆษณาชวนเชื่อหรืออย่างเบาที่สุดคือโดนเงินอุดปากถูกรัฐบาลเผด็จการจ้างให้เงียบ และแสร้งไปทำเรื่องสิ่งแวดล้อม ไฟป่า อาหาร บลา บลา บลา

ดังนั้น พวกเราทุกคนตอนนี้ใจเย็นๆ กันก่อน แสดงความยินดีกับมิลลิ ว่าในประเทศที่ไม่เป็นมิตรหรืออาจพูดได้ว่าเห็นศิลปินและการแสดงออกทางความคิดเห็นเป็นศัตรูนั้น มิลลิสามารถพาตัวเองไปอยู่บนเวทีนั้นได้ เราพึงแสดงความยินดีกับมิลลิ อวยพรให้เธอมีพลัง ติดตามผลงานของเธอวิจารณ์ผลงานของเธอและไม่ต้องยัดเยียดภารกิจอะไรในฐานะคนไทยให้เธอ

เป็นพลเมืองโลกให้มากขึ้น เป็นคนไทยให้น้อยลงกันเถอะเรา