หารสองมันยากตรงไหน? / เรื่องสั้น : ฉมังฉาย

เรื่องสั้น

ฉมังฉาย

 

หารสองมันยากตรงไหน?

 

“อมตะ ถามจริงๆ นะ เคยคิดอยากให้ใครตายบ้างมั้ย” น้ำเสียงของดวงแก้วนิ่งลึกจนยากจะประเมินว่า เป็นคำถามจริงจังหรือถามไร้สาระเอาอะไรมิได้

ชายวัยกลางคนนิ่งงันขบคิดพลางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก

“แกนี่เมื่อไหร่จะเลิกการเคาะนิ้วสักทีนะ ฉันรำคาญจะตายอยู่แล้วกับพฤติกรรมแบบนี้” ดวงแก้วตั้งใจข่มอีกฝ่าย อมตะหยักยิ้มมุมปาก เป็นแบบนี้มาก่อนจะอยู่กินกับดวงแก้วด้วยซ้ำไป แล้วจะมารำคาญหรือหงุดหงิดใจอะไรกันตอนนี้ อมตะถามในใจ

จริงสินะ มันก็เป็นไปได้ เป็นไปอย่างธรรมดาโลกๆ คืออยู่กินกันนานๆ น้ำต้มผักเคยว่าหวาน ก็จะขม เป็นอมตะเองนั่นแหละที่ให้คำตอบแก่คำถามนั้น

“นี่ฉันถาม แกยังไม่ตอบเลย” เร่งรัดอย่างนี้แปลว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วล่ะ

“ก็เคยบ้าง” อมตะตอบยักไหล่นิดๆ และเคาะโต๊ะต่อ หน้าสตูดิโอรถยนต์วิ่งผ่านไปมามากมาย สตูดิโอพรีเวดดิ้งตั้งอยู่บนถนนเชียงใหม่-หางดงฝั่งขาเข้าเมือง ไม่ไกลจากสนามบินเชียงใหม่เลย เปิดได้เจ็ดปี เมื่อก่อนเช่าห้องแถวเล็กๆ ริมคูเมืองเชียงใหม่ เมื่อรายได้ดีขึ้นมาก พวกเขาจึงผ่อนตึกแถว ย้ายสตูดิโอมาเปิดที่นี่เสียเลย

“แล้วแกเคยหรือดวงแก้ว”

“เคยซี แล้วคิดบ่อยด้วย โอ๊ะ” ดวงแก้วร้องอุทาน เข็มแทงนิ้วชี้ซ้าย เอาหัวแม่โป้งขวากดไล่เลือด เขากำลังปักชุดไทยอยู่ รีบวางชุดหรูราคาครึ่งแสนบนโต๊ะโซฟา ลุกไปล้างมือในห้องน้ำใต้บันไดขึ้นชั้นสอง อมตะละสายตาจากจอโน้ตบุ๊ก เขากำลังตกแต่งภาพ โดยใช้โปรแกรมโฟโตช้อปอยู่ เขาทำหน้าที่หลายอย่าง ปักชุดก็เป็น แต่งภาพก็ได้ แต่หน้าที่หลักคือตัดเย็บชุดไทย สำหรับดวงแก้วนั้นแต่งหน้าเป็นหลัก งานปักชุดเป็นรอง สำหรับงานถ่ายภาพพวกเขาเรียกใช้บริการฟรีแลนซ์ แต่ตั้งใจว่าไม่นานจะเลิกใช้บริการฟรีแลนซ์แล้ว เพราะอมตะมีแผนการจะไปเรียนถ่ายภาพเองในอีกสองเดือนข้างหน้า

ดวงแก้วกลับมานั่งที่เก่า ไม่ละความสนใจไปจากเรื่องเดิม พูดขึ้นว่า นอกจากคิดแล้ว ช่วงหลังๆ มานี้ ต้องการจะลงมือฆ่าด้วยตัวเองซ้ำไป อมตะอยากหัวร่อในความคิดพิลึกพิลั่นนั้น ทว่า เก็บอาการเอาไว้ เพียงแต่กล่าวตักเตือน “แล้วแกมีวิธีแล้วหรือ ไม่เนียน คุกนะ…คุกนะจ๊ะ”

ดวงแก้วยังหาวิธีไม่ได้ การสังหารใครสักคนแล้วตนเดือดร้อนต้องติดคุกติดตะรางหรือถูกลงโทษสูงสุดประหารชีวิต เขาไม่โง่เลือกหรอก ตลอดมาความปรารถนานี้ไม่เคยจางหายไปจากใจ แต่วิธีการนั้นยังตันตีบในความคิด

“อมตะ แกไม่อยากรู้หรือว่าฉันอยากฆ่าใคร” ดวงแก้วปรายตามอง หมั่นไส้ที่อีกฝ่ายเอาแต่เฉยเมย

“เฮ้อ…ไม่” เขาตอบรวดเร็วแทบไม่ต้องคิด “เอ๊ะ หรือแกคิดจะฆ่าฉัน หา” แล้วเขาเกิดนึกสนุกขึ้นมา จึงแหย่ไปแบบนั้น

ดวงแก้วเปล่งเสียงหัวเราะ อมตะมีประโยชน์ต่อเขามากมายมหาศาล ฉะนั้น จะฆ่าจะแกงไปทำไม “ไม่ใช่แกหรอก”

เสียงกระดิ่งดังขึ้นที่ประตูกระจก ลูกค้าคู่หนึ่งก้าวเข้ามาในสตูดิโอ พวกเขาจึงยุติการสนทนาไว้เพียงแค่นั้น

 

อมตะคิดว่าจะพูดเรื่องนี้กับดวงแก้วอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ พูดเรื่อยมา แต่ดวงแก้วก็ไม่เคยยินยอมสักที อมตะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เป็นห้องแต่งหน้า แต่งตัวลูกค้าและเก็บชุดวิวาห์กับชุดไทย ชั้นสามเป็นสตูดิโอถ่ายภาพ ชั้นสี่เป็นห้องนอน ซึ่งมีสองห้อง อมตะนอนคนละห้องกับดวงแก้ว สามสี่ปีแล้วล่ะที่พวกเขาแยกห้องนอนกัน

ดวงแก้วนั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า ตรวจดูผมขาวบนหัวอย่างกลัดกลุ้ม

“ดวงแก้ว ฉันอยากพูดกับแกอีกที เรื่องการแบ่งสมบัติน่ะ เรามาจัดการให้ถูกต้องไม่ดีกว่าหรือ ทุกอย่างเราหารสอง จะได้ไม่ยุ่งยากเมื่อเราตายไป”

พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน อมตะห้าสิบห้า ดวงแก้วห้าสิบสาม ถึงจะแก่กว่า แต่อมตะสุขภาพอาจดีกว่าดวงแก้วมาก เพราะคนอายุอ่อนกว่ามีโรคประจำตัวหลายอย่าง เช่น ไมเกรน ความดัน และภูมิแพ้

ดวงแก้วละมือจากหงอก ขยับปาก “เราก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าหากใครตายก่อน เราก็แบ่งคนละครึ่ง ส่วนของคนตายก็ยกให้ญาติพี่น้องฝ่ายนั้นไป แล้วแกว่ายุ่งยากอะไรอีกเล่า” ดวงแก้วโต้กลับ นึกถึงการแบ่งสมบัติทีไร พาลหงุดหงิดใจทุกครา

อมตะไม่อยากรอถึงวันตายของใครคนใดคนหนึ่ง อยู่กินกันอย่างไม่มีกฎหมายรับรอง อมตะเป็นสามี ดวงแก้วเป็นภรรยา ทว่า ไม่ใช่สามีภรรยาธรรมดาสามัญแบบทั่วๆ ไปหรอก

“เงินสดมีเท่าไรมาแบ่งสามส่วน เหลือไว้ส่วนหนึ่งเป็นทุนรอนในการทำร้าน สองส่วนนั้นก็เอาไปคนละส่วน ทองคำก็หารสอง แล้วเอาไปคนละครึ่ง ส่วนรถยนต์ไม่ต้อง เอาไว้ใช้ประโยชน์ร้านต่อ ตึกก็เหมือนกัน ใส่ชื่อสองคนไว้เหมือนเดิมนั่นแหละ” ผู้มีอายุมากกว่าแจกแจงละเอียดยิบ ทรัพย์สินทั้งหมดมีมูลค่าไม่น้อยกว่าสิบล้าน

คนที่อ่อนกว่าเริ่มฉุนเฉียวอีกครั้ง เขาไม่อยากแบ่งในตอนนี้ ดวงแก้วรู้ว่าอมตะเบื่อเขา เชอะ แน่นอน เขาก็หน่ายอีกฝ่ายเช่นกัน แต่ที่ยังคงสภาพอยู่อย่างนี้ต่อไป เพราะอมตะมีประโยชน์ต่อธุรกิจมากทีเดียว

มีอยู่ช่วงหนึ่งพวกเขาแยกสาขาออกไปเปิดรอบนอก คือในอำเภอจอมทอง เป็นร้านเล็กๆ คูหาเดียว ที่นั่นให้อมตะดูแลเองทั้งหมด รายได้ไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าใดหรอก ทนทำอยู่สามปีก่อนจะเลิก แล้วให้อมตะย้ายกลับมาที่นี่อย่างเก่า แต่ถึงกระนั้นความคิดที่จะแตกสาขาออกไปอีกก็ยังไม่เสื่อมหายไปจากสมอง การแยกกันอยู่เป็นเรื่องวิเศษมากๆ ดวงแก้วสามารถมีชีวิตอิสระ สามารถหิ้วเด็กผู้ชายคนไหนก็ได้ที่พึงพอใจมานอนด้วย หลายปีแล้วที่เขากับอมตะไม่ได้หลับนอนด้วยกัน แน่นอนว่า ทางโน้นก็คงไม่ได้นอนตายซาก เพราะถูกแรงกำหนัดเล่นงานหรอก อมตะเป็นชายหน้าตาดี วาจาไพเราะ สังเกตเห็นบ่อย เจ้าสาวบางคนชอบเขาทั้งที่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์อยู่แล้ว

“ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของแกทั้งหมดหรอกนะ อมตะ” ดวงแก้วหาเรื่อง ใบหน้าคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ฉันคิดเอง” อมตะสวนทันควัน

“พูดไปใครจะเชื่ออออออ” ดวงแก้วลากคำว่า “เชื่อ” ยาวออกไป จนคนฟังรับรู้ได้ว่าดวงแก้วต้องการหยอกเย้ยถากถาง

ถามอย่างรำคาญมากกว่าใคร่จะรู้จริง “งั้นแกว่าใครเอาความคิดแบบนี้มาใส่สมองฉันล่ะ”

“จะมีใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่น้าดี อีน้าสุดเลิฟของแกน่ะ จุ้นจ้านดีนักแม่คนนี้” ดวงแก้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

อมตะนิ่งเงียบ คิดถึงน้าดี น้าเป็นน้องสาวแม่คนเล็กสุด น้ามีครอบครัว ลูกสอง สามีเสียชีวิตนานแล้ว ลูกชายคนโตของน้าอายุเท่าเขา น้ารักเขาเท่าๆ กับลูกของน้า หลังจากพ่อกับแม่ของอมตะตายเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น น้าดีรักและสงสารเขา ดูแลเขาเยี่ยงลูกคนหนึ่ง

ตอนเขาตัดสินใจอยู่กินดวงแก้ว ญาติหลายคนไม่เห็นด้วย แต่ที่คัดค้านหนักหน่วงที่สุดคือน้าดีคนนี้แหละ นางค้านหัวชนฝาเลยเชียว นางว่าเป็นเรื่องอุบาทว์มากที่ชายแต่งงานกับชาย

“โอย ผิดธรรมชาติ เรื่องแบบนี้ไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้นหรอกนะ แถมยังเลวทรามลงอีกต่างหาก ชีวิตมีแต่ตกต่ำนะ คิดดูให้ดีนะอมตะ” นางพยากรณ์

แต่ชีวิตของคนทั้งคู่ไม่ได้ตกต่ำอย่างนั้นเลย แม้ทั้งสองเริ่มต้นชีวิตด้วยความลำบาก แต่ด้วยขยันทำมาหากินเรื่อยมา พวกเขาจึงสร้างฐานะได้ใหญ่โตอย่างที่ประจักษ์ในปัจจุบันนี้ ดังนั้น คำพยากรณ์ของน้าดีถูกลบเลือนไปด้วยภาพเหล่านี้หมดสิ้น แต่น้าดียังเป็นห่วงอมตะไม่เลิก ต้องการให้เขาเลิกรากับดวงแก้วใจจะขาดอยู่แดดิ้น หารสองแบ่งสมบัติกันเสีย หลังจากนั้นชีวิตใครชีวิตมัน

ถามว่าดวงแก้วไม่รู้เรื่องนี้หรืออย่างไร ไม่ ไม่อย่างนั้นเธอจะกล่าวหาน้าดีได้อย่างไรว่า เป็นคนยุแยงตะแคงรั่วในเรื่องนี้ สมัยก่อนน้าดีเป็นปรปักษ์กับเขาอย่างเห็นได้ชัด แล้วจากนั้นเหนื่อยล้าอ่อนแรงลงไป ถอยทัพกลับไม่ราวีกับเขาอีก ทว่า ดวงแก้วรู้สันดานของผู้หญิงคนนี้ดี นางไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ หรอก และเมื่อเห็นว่าการปั่นหัวลูกชายบุญธรรมทำได้ง่ายขึ้นในยามนี้ นางจึงหันมาทำศึกกับเขาอีกครา และศึกครั้งนี้ทำท่ารุนแรงนัก

อันที่จริงแล้วเขาไม่กลัวน้าดีเลย มันรำคาญพาลหงุดหงิดใจมากกว่า ทรัพย์สมบัติทุกอย่างใส่ชื่อเขากับอมตะหมด ดังนั้น หากเขาไม่ยอมแล้วละก็ มันก็ไม่สามารถแบ่งแยกได้วันยังค่ำ ไม่ว่าเทวดาหน้าไหนจะมาบันดลบันดาลอย่างไรก็ตาม

“อมตะ วันก่อนที่แกถามว่าฉันต้องการให้ใครตายนั้น และฉันยังไม่ตอบแก วันนี้ยังอยากรู้อีกไหมว่า คนนั้นคือใคร”

ไม่ค่อยอยากรู้ แต่ต้องการยั่วอารมณ์อีกฝ่ายมากกว่า จึงถามไถ่ “ใครที่แกอยากฆ่า หา ดวงแก้ว”

เขาเน้นเสียงตรงคำว่าอยากฆ่า เพราะเขารู้ว่า ดวงแก้วใจไม่ถึงหรอก ปลาสักตัวก็ยังไม่กล้าทุบหัว แล้วมนุษย์เป็นๆ หน้าไหนเล่า ที่ดวงแก้วจะหาญกล้าลงมือสังหาร ทำคุยโตไปเถอะ อยากหัวเราะเยาะใส่จริงๆ นังคนนี้

“น้าดีไง” ถึงแม้น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวชวนขนลุก แต่อมตะเฉยๆ เหมือนได้ฟังว่า วันนี้ร้อนนะ วันนี้ฝนจะตกนะ อะไรปานนี้

“อ้าว นั่นจะไปไหน” คนที่อยากฆ่าคนถามขึ้น

“ไปข้างนอกมา เหนียวตัวมาก อยากอาบน้ำ”

“วันหนึ่งอาบน้ำกี่หนเนี่ย”

อมตะหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนจะกล่าวกระทบกระเทียบอีกฝ่ายให้เจ็บใจเล่น “ใครจะสกปรกแบบแกได้เล่าดวงแก้ว แกน่ะตัวแม่เลยเรื่องโสโครก”

“แหม พ่ออนามัยจัด เอาถ้วยรางวัลไปเลย” รีบถากถางอย่างกลัวเสียประโยชน์ แต่ก็จริงอย่างอมตะกล่าว บางวันเขาไม่อาบน้ำเลย ล้างหน้าแปรงฟันเท่านั้นเอง ถ้าเนื้อตัวไม่สกปรกมากนัก เขาก็เช็ดตัวเอา

ลูกค้าคู่นี้ เจ้าสาวเป็นชาวสระแก้ว เธอพูดเขมรได้ด้วย ทั้งคู่มาทำงานที่เชียงใหม่หลายปีแล้ว แต่คราวนี้จะจัดงานแต่งที่บ้านเกิดของฝ่ายหญิง อมตะสังเกตเห็นว่าดวงแก้วสนใจในตัวเจ้าสาวเป็นพิเศษ ดวงแก้วจะใกล้ชิดเธอมาก และเมื่ออมตะได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน จึงไม่แปลกใจอะไรเลย

“เรื่องแบบนี้ ทางโน้นมีเยอะมาก พี่ดวงแก้วสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือคะ”

“โอย พี่อยากเรียนเลยแหละ เรื่องไสยศาตร์หรือมนตร์ดำนี่ เอ่อ…เอ่อ คุณน้องพอจะแนะนำอาจารย์หมอให้รู้จักสักคนได้ไหมจ๊ะ”

“อันที่จริงหนูก็รู้จักอยู่นะ คนคนหนึ่ง”

ดวงแก้วตาลุกวาวด้วยความหวัง กระเถิบเข้าหาเจ้าสาว “ใคร เขาเอาค่าเรียนแพงไหมจ๊ะ คุณน้อง”

“ลุงของหนูเอง เขาเก่งมาก ทำคุณไสยได้เกือบทุกอย่าง อยากให้ใครรักกัน อยากให้ใครหย่ากัน อยากให้ใครตาย เลือกได้หมด แต่เดี๋ยวนี้เขาเลิกอาชีพนี้ไปแล้ว”

หัวใจห่อเหี่ยวลงไปทันควัน “อ้าว…ทำไม แต่เขาจะรับสอนไหม”

“ลุงอายุจะเจ็ดสิบอยู่ เรื่องสอนน่ะ เดี๋ยวหนูจะถามให้นะ เอ้ พี่ดวงแก้วจะเรียนทำเสน่ห์ยาแฝดหรือไง ปักใจชอบใครเขากันเล่า” เจ้าสาวไม่เบาเสียง เธอไม่รู้ว่าอมตะกับดวงแก้วเป็นผัวเมียกัน

“เรื่องยาโฝงยาแฝดพี่ไม่สนหรอกหรอกคุณน้อง พี่ต้องการฆ่าใครสักคนแบบไม่ติดคุกน่ะคุณน้องจ๊า” ดวงแก้วพยายามพูดแบบทีเล่นทีจริง ทั้งที่ความคั่งแค้นมีอยู่เต็มอก

“อุ๊ย” อีกฝ่ายอุทาน

 

กลับมาจากจังหวัดสระแก้วด้วยหัวใจเบิกบาน ดวงแก้วครวญเพลงแทบทั้งวัน

“กลับมาจากแต่งหน้าให้เจ้าสาวคราวนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ ไปเจอหนุ่มหล่อที่นั่นหรือจ๊ะน้องดวงแก้ว” อมตะกระเซ้า

“ดีกว่าเจอหนุ่มหล่อเสียอีก จะบอกให้” ฉีกยิ้มกว้าง ครวญเพลงต่ออีกท่อน

“ยังไงๆ ไขขานให้ฟังหน่อยได้ไหมยอดยาหยี”

เมื่อเจ้าสาวคนนั้นสามารถติดต่อให้ลุงของเธอรับสอนดวงแก้วได้ ดวงแก้วจึงตอบแทนเธอโดยเดินทางไปสระแก้วในวันแต่งงานของเธอ เพื่อแต่งหน้าทำผมให้ฟรี แล้วจากนั้นอยู่สระแก้วต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ เรียนวิชามนตร์ดำ

“ฉันไปเรียนหุ่นดินน้ำมันมา”

“ยังไง หุ่นดินน้ำมัน”

“อ้าว หุ่นดินน้ำมันก็เหมือนหุ่นขี้ผึ้งนั่นแหละ อยากให้ใครเจ็บปวดทุรนทุรายหรือถึงขั้นตายก็ปั้นหุ่นดินน้ำมันขึ้นมา แล้วเอาเข็มแทงเข้าไป แทงเข้าไป” ดวงแก้วทำท่าประกอบคำพูดสมจริงทีเดียว

“โอย มันยังมีอีกรึเรื่องแบบนี้ นึกว่าพูดกันเล่นๆ แกนี่มันงมงายจริงจริ้ง”

ดวงแก้วไม่สนใจในคำหยามหมิ่นนั่น อธิบายต่อ “ความตายที่เกิดจากมนตร์ดำนี้ ไม่ผิดไปจากอาการหัวใจวาย ไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงถึงคนลงสังหาร”

เหยื่อของดวงแก้วคือน้าดี

อมตะหัวเราะเยาะ “โลกไร้พรมแดนซะอย่างนี้ แกยังหมกมุ่นและเชื่อเรื่องแบบนี้อีกหรือวะ นังไดโนเสาร์เฒ่า”

“แสดงว่าแกไม่เชื่อใช่มั้ยอมตะ” คราวนี้โกรธ

อมตะกล่าวถากถางหนักขึ้น “เชื่อก็ควายแล้วล่ะ ใครอยากเป็นควายก็เชิญเป็นคนเดียวไปเถอะนะ”

“อยากพิสูจน์ไหมล่ะ” ดวงแก้วท้าทาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ มือสั่นน้อยๆ

“ยังงายยย” อมตะลากเสียงยาว เพิ่มความโทสะให้อีกฝ่ายหนักขึ้นอีก

ดวงแก้วอธิบายด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ปากสั่นระริก “พิสูจน์แบบธรรมดา มันง่ายเกินไป”

“เอายังไง” อมตะโยนฟืนลงในกองไฟ เติมเชื้อให้ลุกโชน

“เรามาพนันกันมั้ย เอาเส้นผมแกมาสักกระจุก ถ้าแกไม่ตายด้วยหุ่นดินน้ำมันนี้ ฉันจะยอมหารสอง แบ่งสมบัติกัน หรือไม่บางทีฉันอาจจะยกสมบัติของฉันให้แกหมดเลยก็ได้ แต่ถ้าแกตาย ขอบอกไว้นะ ฉันก็จะเอาของแกทั้งหมด โดยไม่ต้องแบ่งให้ญาติแกแม้แต่เก๊เดียว มา…มาเขียนสัญญากันเลย เร็วซี่…เร็ว” ดวงแก้วยุ ใจยังเต้นตึกๆ เพราะความโมโหยังไม่จางหาย

“งั้นได้เลย” อมตะไม่ยอมลามือให้ จากนั้นพวกเขาก็ลงมือเขียนพินัยกรรมกัน

“เอาละ คราวนี้แกไปเอาเส้นผมมาให้ฉันได้แล้ว” ดวงแก้วเร่งรัด

อมตะหายไปจากตรงนั้นหลายนาที กลับมาพร้อมกับเส้นผมกระจุกหนึ่ง ดวงแก้วปั้นหุ่นดินน้ำมันไว้รอท่าแล้ว เข็มเล่มหนึ่งก็วางอยู่ข้างๆ ด้วย

“อมตะ แกจะเสียใจข้ามภพข้ามชาติแน่ที่มาท้าทายวิชาของฉันแบบนี้”

อมตะยื่นเส้นผมให้ ดวงแก้วถามอีก “แกเปลี่ยนใจได้นะ ฉันไม่อยากฆ่าแกหรอก อมตะ”

“เอาเส้นผมไปไวๆ รำคาญ พร่ำอยู่ได้” เขาเสือกมือข้างนั้น จนเกือบชนลูกคางของดวงแก้ว

ดวงแก้วเอาเส้นผมพันๆ รอบหุ่นดินน้ำมันจิ๋ว จากนั้นบริกรรมคาถา ไม่ถึงห้านาที ดวงแก้วเสือกเข็มลงตำแหน่งหัวใจของหุ่นดินน้ำมัน

ดวงตาของอมตะถลน และร้องโอ๊ะออกมาดังๆ

แต่เสียงร้องมีความปรีดามากกว่าความระทมทุกข์ ถึงวินาทีนี้เขาก็ไม่เชื่อเรื่องมนตร์ดำอยู่ดีนั่นแหละ แต่ถึงกระนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้

แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณอย่างสุดซึ้งในความสกปรกของดวงแก้ว ที่มัน อ่า…ที่มันไม่เคยล้างหวีของมันเลยตั้งแต่ซื้อมาปีหนึ่งแล้ว •