ยานยนต์ สุดสัปดาห์/เจาะระบบไฮเทค “นิสสัน ลีฟ” ยอดรถยนต์ไฟฟ้า-จ่อเข้าไทย

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

เจาะระบบไฮเทค “นิสสัน ลีฟ” ยอดรถยนต์ไฟฟ้า-จ่อเข้าไทย

เปิดตัวแบบอลังการงานสร้างสุดๆ “นิสสัน ลีฟ” เจเนอเรชั่นที่ 2 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยเชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลกไปร่วมงานที่ประเทศญี่ปุ่น

ลีฟ ได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ “อีวี” ที่ขายดีที่สุดในโลก เจเนอเรชั่นแรกกวาดยอดขายเกือบๆ 3 แสนคัน และได้รับคำชมมากมายจากผู้ใช้ทั่วโลก

รุ่นใหม่นี้ยังออกแบบเป็นแฮตช์แบ็ก 5 ประตูเหมือนเดิม แต่เพิ่มความเฉี่ยวมากขึ้น กระจังหน้าแบบ V-Motion เอกลักษณ์ของนิสสันในยุคหลังๆ พื้นผิวของกระจังหน้า และกันชนหลังเป็นสีฟ้าใส ลักษณะเด่นของตระกูลยานยนต์ไฟฟ้า

ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์แบบคู่ รองรับการทำงานทั้งไฟต่ำและไฟสูง เป็นครั้งแรกที่ติดตั้งในรถยนต์ของนิสสัน ตำแหน่งการจัดวางที่ค่อนไปทางด้านบน ช่วยสร้างความรู้สึกทันสมัย พร้อมทั้งเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการเพิ่มระยะการส่องสว่างที่ครอบคลุมมากขึ้น

ชุดไฟท้ายมีความโดดเด่นที่ทำให้ผู้คนที่พบเห็นสามารถจดจำลีฟรุ่นใหม่ได้จากระยะไกล การติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายให้เป็นส่วนหนึ่งของลวดลายกระจกทำให้ลีฟรุ่นใหม่ มีความสปอร์ตและสะดุดตามากยิ่งขึ้น เมื่อเปิดฝาท้ายขึ้นเป็นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ถึง 435 ลิตร ใส่กระเป๋าเดินทางได้ 3-4 ใบสบายๆ

ฝากระโปรงหน้าที่ลาดต่ำผสมผสานอย่างลงตัวกับกระจกด้านหน้าที่ทอดยาวไปจนถึงหลังคา ก่อให้เกิดเส้นเงาที่โฉบเฉี่ยว และทำให้การระบายของอากาศดีขึ้น

ออกแบบใต้ท้องรถ และกันชนท้ายที่มีลักษณะคล้ายดิฟฟิวเซอร์ (Diffuser) ช่วยลดแรงต้านอากาศ และอากาศที่ยกตัวรถ ช่วยให้รถมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

การออกแบบตัวถังตามหลักแอโรไดนามิกส์ รวมถึงกันชนหลังที่เป็นแนวโค้ง และการออกแบบล้อตามหลักอากาศพลศาสตร์

ทำให้นิสสัน ลีฟใหม่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศ เพียง 0.28 เท่านั้น

นอกจากนี้ ช่องเสียบสายชาร์จไฟบริเวณด้านหน้ารถได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ติดตั้งในระดับ 45 องศา ทำให้ผู้ใช้งานที่มีระดับความสูงต่างกันเสียบสายชาร์จไฟได้สะดวก

ห้องโดยสารของลีฟใหม่มีความกว้างขวางและสะดวกสบายมากขึ้น ที่ยึดหลักการออกแบบของนิสสัน Gliding Wing เป็นแนวทางหลัก การปรับดีไซน์ให้หน้าจอและรูปแบบของไฟแสดงข้อมูลของคนขับเรียบง่ายขึ้น ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

คอนโซลด้านหน้าออกแบบใหม่ทั้งหมด ที่รองแก้วแบบคู่จัดวางตามแนวยาวที่นั่งระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นที่ฐานของคอนโซลกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับการวางสมาร์ตโฟนหรือกระเป๋าสตางค์ รวมทั้งการใช้งานสวิตช์ไฟฟ้า ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์และพอร์ตยูเอสบี

เบาะนั่งมีตะเข็บสีฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้านิสสัน ทั้งบริเวณเบาะนั่ง ด้านข้างประตู ที่วางแขน และพวงมาลัย รวมทั้งการใช้โทนสีน้ำเงินกับปุ่มสตาร์ต และเกียร์

คอนโซลกลางและสวิตช์เกียร์ สามารถมองเห็นข้อมูลที่จำเป็นในตำแหน่งที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับการขับขี่มากขึ้น

เมื่อสตาร์ตรถ ลีฟรุ่นใหม่ จะมีการฉายภาพยนตร์แนะนำข้อมูล

หน้าจอแสดงข้อมูล และสวิตช์ควบคุมต่างๆ ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบใช้งานง่ายขึ้น โดยที่มีความโดดเด่นมากที่สุด คือ การผสมผสานระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอะนาล็อกกับหน้าจอแสดงผลแบบ multi-information ด้านซ้าย

หน้าจอแสดงผลตรงกลางแบบ Flush-surface สะดวกต่อการเลือกระบบความบันเทิง และใช้งานระบบนำทาง สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน Apple CarPlay นิสสัน คอนเน็กต์ (NissanConnect) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Nissan Intelligent Integration) คนขับสามารถค้นหาข้อมูลอัพเดตล่าสุดของสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้งสถานที่ตั้งหรือเวลาให้บริการ รวมทั้งสถานะว่างของสถานีชาร์จ และในระหว่างชาร์จไฟฟ้าเจ้าของรถสามารถดูสถานะการชาร์จผ่านสมาร์ตโฟนได้อีกด้วย

มีฟังก์ชั่นเสียงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยการใช้สวิตช์บนพวงมาลัย

ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียมสีดำด้านและสีดำเงา สลับกันไป

เบาะนั่งด้านหลัง พื้นที่วางขามีมาให้พอสมควร แต่หลังคาออกจะต่ำไปสักหน่อย เป็นผลจากการออกแบบท้ายลาดลงเพื่อความสปอร์ต

ขุมพลังระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (e-powertrain) ให้พละกำลัง 150 แรงม้า เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า แรงบิด 320 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า

ชาร์จแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง จนเต็ม ใช้เวลา 8 ชั่วโมง หรือ 16 ชั่วโมง กับการชาร์จปกติ สามารถขับขี่ได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร สามารถขับขี่ได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น)

และสามารถชาร์จแบบเร็วภายใน 40 นาที ให้พลังงาน 80% ของความจุ

มิติตัวถัง กว้าง 1,790 ม.ม. ยาว 4,480 ม.ม. สูง 1,540 ม.ม. ฐานล้อ 2,700 ม.ม. ถือว่ากำลังเหมาะ

ความปลอดภัยมาตรฐานต่างๆ มีครบ แต่ที่เจ๋งกว่าคือระบบตัวช่วยอัตโนมัติ ซึ่งมีอยู่ 3 ระบบหลักๆ

“ProPILOT” เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติในช่องจราจรเดียว เมื่อเทคโนโลยีนี้ทำงาน รถจะรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้โดยอัตโนมัติด้วยการใช้ความเร็วที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ล่วงหน้า (ระหว่าง 30-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เทคโนโลยีนี้ยังช่วยบังคับทิศทางและรักษาตำแหน่งอยู่กึ่งกลางช่องจราจร เมื่อรถคันหน้าจอด ProPILOT จะสั่งการระบบเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อให้รถหยุดนิ่งเมื่อถึงเวลาจำเป็น

เมื่อรถหยุดนิ่งแล้วตัวรถจะไม่เคลื่อนที่ แม้ผู้ขับขี่จะยกเท้าออกจากแป้นเบรกก็ตาม เมื่อการจราจรเคลื่อนที่อีกครั้ง ตัวรถจะเริ่มขับเคลื่อนไปข้างหน้าเมื่อผู้ขับขี่กดสวิตช์ หรือเหยียบคันเร่งเบาๆ เพื่อให้ระบบ ProPILOT เริ่มทำงาน

“ProPILOT Park” ระบบจะช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการจอดรถอย่างเต็มรูปแบบ โดยควบคุมการเร่ง เบรก พวงมาลัย การเปลี่ยนเกียร์ และเบรกมือเพื่อให้ตัวรถเข้าสู่ช่องจอดได้โดยอัตโนมัติ

ผสมผสานเทคโนโลยีประมวลผลภาพด้วยการใช้กล้องความละเอียดสูงจำนวน 4 ตัว และข้อมูลจากเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัวที่ติดตั้งรอบคัน ระบบพวงมาลัย เบรก และคันเร่งทั้งหมดจะถูกควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อการจอดหลากหลายรูปแบบ

สุดท้าย “e-Pedal” ช่วยให้ผู้ขับขี่ในการออกตัว เร่งความเร็ว ลดความเร็ว หยุดนิ่งและควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว เพียงยกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งได้อย่างนุ่มนวล โดยไม่จำเป็นต้องแตะแป้นเบรก ช่วยลดความเมื่อยล้าเวลาเจอจราจรติดขัด เป็นระบบที่เหมาะกับการขับขี่ในเมืองที่ต้องออกตัวสลับหยุดนิ่ง

นิสสัน ลีฟ วางจำหน่ายในญี่ปุ่นต้นเดือนตุลาคมนี้ สนนราคา 3,150,360 เยน หรือประมาณ 959,000 บาท

ส่วนแฟนๆ ในเมืองไทยมีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของ เพราะผู้บริหารนิสสันญี่ปุ่นมีแผนนำมาจำหน่ายในบ้านเราด้วย