รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว ศ. ดุสิต/เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด “คลังโหร” ดวงสองดาว

รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว/ศ. ดุสิต

อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น!

เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด “คลังโหร”

ดวงสองดาว

ไหนๆ ก็ว่ากันมาถึงเรื่องดวงห้าดาวสามดาวแล้ว มาต่อกันด้วยเรื่องดวงสองดาวอีกนิดเพื่อให้เข้าชุด และดวงสองดาวนี้ก็เป็นจุด “พิเศษ” ในดวงชาตาอย่างหนึ่งด้วย ที่จริงก็คือพระเคราะห์คู่นั่นแหละ แต่เรียกให้เข้าชุดว่าดวงสองดาวเท่านั้นเอง

ดาวคู่หรือพระเคราะห์คู่นี่ก็คือ พระเคราะห์ที่จับคู่เข้าด้วยกันแล้วแปลออกไปเป็นสถานะต่างๆ ที่เราก็เคยรู้กันมาอยู่แล้ว เช่น ดาวคู่มิตร, คู่ธาตุ, คู่สมพล, คู่ศัตรู อะไรนี่แหละ เรารู้จักดาวพวกนี้อยู่แล้ว แต่มัน “พิเศษ” ยังไงล่ะ?

ผมจะแจงเรื่องนี้เพียงสั้นๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องแปลกหน้าสำหรับพวกเราเลย เพียงแต่พวกเรายังไม่รู้ว่าดาวคู่นี่มันพิเศษยังไง และจะพิเศษตอนไหน มารู้กันเสียเลยเดี๋ยวนี้แหละ

ความพิเศษของดาวคู่นี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อในดวงชาตานั้นๆ มีดาวจับคู่กันอยู่ถึง ๔ คู่!

เรียกว่าถ้าคุณเห็นดวงไหนมีดาวจับคู่อยู่ในดวงถึงสี่คู่ละก็ รู้ไว้ได้เลยว่า นั่นเป็นดวงพิเศษ

พิเศษยังไง?

พิเศษก็คือ อิทธิพลของดาวคู่สี่คู่นั้นจะทำให้เจ้าชาตานั้นมีความโดดเด่นขึ้นด้วยประการใดประการหนึ่งตามบุพกรรมของเขา และความเด่นนั้นจะเป็นความเด่นในด้านบวกหรือลบก็ได้ สุดแต่คุณภาพของดาวที่จับคู่กันอยู่นั้นนั่นเอง

เช่น ถ้าทั้งสี่คู่นั้นเป็นดาวคู่มิตรคู่ธาตุคู่สมพล ก็จะบ่งถึงความโดดเด่นในทางบวก และแน่นอน, อิทธิพลของดาวคู่ทั้งสี่จะทำให้เจ้าชาตามีฐานะเป็นบวกด้วย แม้ว่าในตอนต้นของชีวิตจะลำบากยากแค้นอย่างไรก็ตาม แต่รับรองได้ว่าในบั้นปลายของชีวิตจะมีฐานะเป็นปึกแผ่น หรือมีความเป็นอยู่ที่ยกระดับขึ้นมาจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว

แต่ถ้าดาวทั้งสี่คู่นั้นเป็นดาวผสมกันทั้งบวกและลบ คือมีคู่มิตรคู่ธาตุและคู่ศัตรูคู่หักล้างกันอยู่ด้วย อย่างนี้คุณภาพก็ย่อมสู้สี่คู่แบบในข้อแรกไม่ได้ แต่ก็ยังจะสามารถที่จะยกระดับชีวิตได้อีกเช่นกัน เพียงแต่ฐานะที่ได้รับจะหย่อนกว่าสี่คู่ที่เป็นบวกเท่านั้น

แม้แต่ทั้งสี่คู่นั้นเป็นดาวฝ่ายลบทั้งหมด หรือเป็นคู่ที่ไม่มีความหมายแต่อย่างใดเลย ก็ยังสามารถที่จะยกระดับชีวิตเจ้าชาตาได้ด้วย คือยังไงๆ ถ้าดวงใครมีดาวสี่คู่อยู่ในดวงละก็ เป็นอันเชื่อได้เลยว่าชีวิตจะดีขึ้นในบั้นปลาย หรือจะทำให้ชีวิตมีความโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่งอย่างแน่นอน

นี่แหละคือความ “พิเศษ” ของดาวสองดวงละ

จะว่าไป ดวงที่จะมีดาวจับคู่กันได้สี่คู่นั้นหาไม่ง่ายนักหรอก จะเรียกว่าหายากก็ได้ แต่สามคู่นั้นหาได้บ่อยกว่า ในการดูดวงที่ดาวจับคู่กันนี้ ขอให้เราระลึกไว้ว่า ดาวคู่นั้นเป็นดาวพิเศษ (ที่ว่าคู่นี้หมายถึงมีดาวอยู่สองดวงในราศีเดียวกันเท่านั้น จะมีมากน้อยกว่านี้ไม่ได้) มีอิทธิพลที่เหนือกว่าดาวที่อยู่เดี่ยวๆ เพราะมีแรงถึงสองแรงเข้าช่วยกัน ทำให้อิทธิพลของดาวและภพที่ตนทำหน้าที่อยู่นั้นเข้มแข็งขึ้น ยิ่งถ้าดาวคู่นั้นสมานสามัคคีกันดี ก็ย่อมส่งผลดีมากขึ้น ถ้าเป็นดาวที่ขัดกันเอง ก็ทำให้ภพนั้นหย่อนสมรรถภาพลงได้

ตรงนี้แหละที่เป็นส่วนละเอียดในการดูดาวคู่ ซึ่งเราจะละเลยไม่ได้เป็นอันขาด ผมจะทำแบบชั้นของดาวคู่ให้ดูเพื่อจะได้รู้ถึงระดับความพิเศษของดวง

จากรูปตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ดวงชั้นหนึ่งนั้นประกอบไปด้วยดาวที่มีศักดิ์ศรีและอยู่ในภพที่ดีทั้งนั้น แต่คู่ดาวในชั้นสองนั้นก็มีดาวศักดิ์ศรีอยู่บ้างเช่นกัน ทว่า ยังน้อยกว่าดวงชั้นหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างให้คุณได้เห็นถึงคุณภาพของดาวและภพที่ไม่เหมือนกัน ส่วนดาวคู่ที่ไม่มีศักดิ์ศรี เป็นดาวธรรมดาหรือเป็นดาวที่ส่งผลลบต่อกันมากกว่าดาวดีนั้น ก็ย่อมจะลดคุณภาพลงไปอีก แต่ก็ยังมีความพิเศษอยู่ในตัวของมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือสร้างความโดดเด่นให้แก่เจ้าชาตาได้นั่นเอง (แต่จะเด่นแบบบวกหรือลบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ)

ผมจะนำดวงดาวคู่ที่เป็นของคนดังคนหนึ่งมาให้ดูเป็นตัวอย่างอีกดวงหนึ่งดังนี้

ดวงตัวอย่างนี้เป็นดวงของนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่ง ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว ปกติก็เป็นชนชั้นกลางระดับกลางบวก ดำรงชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ แต่ต่อมาอิทธิพลของดาวสี่คู่ก็ทำให้วิถีชีวิตผันเปลี่ยนมาเป็นนักการเมืองระดับชาติ และเมื่อเป็นรัฐมนตรีนี่แหละ จึงมีชื่อเสียงโด่งดังที่ใครๆ รู้จักในด้านที่ว่า “ตรงเป็นไม้บรรทัด”

พอนึกออกกันแล้วใช่ไหมครับว่า ดวงนี้คือดวงของ–ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์

เป็นดวงที่มีดาวคู่ครบสี่คู่ตามกฎ และคู่ที่กุมลัคนาก็เป็นดาวคู่สมพลที่มีพลังสูง เพราะดาวพุธในราศีสิงห์นั้นเป็นพุธมหาจักร อาทิตย์ตนุลัคน์ก็ได้มหาจักรอยู่ในภพวินาสน์หนุนดันหลังลัคนาอยู่ด้วย และมีดาวคู่อีกสองคู่โยคหน้าหลังลัคนา

เสียดายที่ดาวสองคู่นี้ไม่มีศักดิ์ศรีพิเศษแต่อย่างใด แต่ก็มีพิเศษในด้านที่เป็นดาวคู่นี่แหละ

และอีกคู่หนึ่งที่มีศักดิ์ศรีเป็นเจ้าเรือนเงาภพปัตนิและเป็นคู่ธาตุดินคือ พฤหัสฯ-จันทร์ ก็สถิตอยู่ที่ภพปัตนิเล็งลัคนาอยู่ ส่งกระแสดาวคู่มาเป็นกำลังให้แก่ลัคนาอีกด้วย

มีดาวสี่คู่ครบตามสูตร และมีดาวศักดิ์ศรีสองคู่กุมลัคน์และเล็งลัคนา ซึ่งเป็นเชิงมุมที่ส่งกระแสของตัวเองมาถึงลัคนาทั้งสิ้น อย่างนี้ผลที่เกิดขึ้นกับชาตาชีวิตก็คือความเด่นดังที่จะมีต่อชีวิตนั่นเอง

ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตัวอย่างแค่นี้ก็คงเพียงพอที่จะให้คุณเข้าใจกันได้ ยังมีเนื้อที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยจึงขอนำเรื่องที่น่าสนใจมาเสนอให้คุณได้อ่านกัน

ติดตามได้เลยครับ

ตำราเศษพระจอมเกล้าฯ

ตำรานี้ใช้กันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านได้ทรงคำนวณจากอิทธิพลของดาวทั้งในระบบโหราศาสตร์และทักษาปกรณ์ จนได้เป็นสูตรออกมาสูตรหนึ่ง แล้วท่านจึงได้ทรงนิพนธ์อรรถาธิบายเอาไว้โดยจัดเป็นเศษทั้งสิบดังที่ปรากฏอยู่นี้

ในสมัยนั้น ตำรานี้ใช้กันอยู่ในการเลือกผู้คนเข้ารับราชการ จะเรียกว่าตำรานี้เป็นตัว “ตรวจ” บุคคลที่จะเข้ารับราชการก็ได้ แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกมาภายนอก จึงทำให้มีเจ้านายนำมาใช้ในการตรวจผู้คนที่จะเข้ามารับใช้ใกล้ชิด ซึ่งอาศัยวันเดือนปีเป็นตัวกำหนดบอกว่า ผู้คนนั้นๆ มีวาสนาชะตาเป็นอย่างไร ควรจะรับเข้ามาปรนนิบัติใกล้ชิดหรือไม่

การจะหาเศษ ให้ทำดังนี้

ให้ตั้งวันเดือนปีเกิดแล้วบวกกัน (วันอาทิตย์ ๑ เดือนอ้าย ๑ ปีชวด ๑) ลัพธ์เท่าใดถ้าเกินสิบให้เอาสิบลบจนเหลือไม่เกินสิบ ถือว่าเป็นเศษที่จะนำมาใช้พยากรณ์ มีคำพยากรณ์ (พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ไว้ดังนี้

เศษ ๑ เสาเรือนไหม้ไฟ ชะตาใครทั้งชายหญิง ไร้เรือนที่พักพิง ที่พึ่งพักสำนักเนา จะร่อนเร่ระเหระหน เร่งเจียมตนอย่าดูเบา เพราะว่าชะตาเรา โทษประกอบจึงเกิดกรรมฯ

เศษ ๒ จะครองไข้ มีโรคร้ายรึงประจำ หยูกยาจะหาทำ บ่ถูกแท้จนแก่ตัว

เศษ ๓ ความสบาย มีข้าควายและเกวียนวัว พอสมสกุลตัว เข้าที่ทายสถานกลาง

เศษ ๔ มีข้าครอก อเนกนอกคณานาง อุปถัมภ์ล้ำสำอาง บ่ไข้ชุกบ่ทุกข์เป็น

เศษ ๕ ชะตากลับ ทุนทรัพย์แลแสนเข็ญ ภายหลังชะตาเป็น ทุนทรัพย์จะนับพัน

เศษ ๖ จะยกญาติ เป็นเชื้อชาติประเสริญสรรพ์ เงินตรายศถาพลัน ทุนทรัพย์ลำดับมี

เศษ ๗ นั้นผ้าขาด จะนุ่งห่มก็เต็มที พักตราผอมราศี ระคายดับทั้งทรัพย์สิน

เศษ ๘ นั้นเปรื่องยศ จะปรากฏกระเดื่องดิน ทรัพย์ศฤงคารสถานถิ่น ทั้งอำนาจและวาสนา

เศษ ๙ กินข้าวกลางตลาด เสมอชาติสุนักขา ถึงจะมีวาสนา ต้องประกอบการทำงาน แม้ตระกูลทลิทก (ยากจน) ถึงต่ำตกก็บ่นาน ดังนักเลงสุราบาน พอขวนขวายใส่ท้องตน

เศษ ๑๐ เหมือนนกแขกเต้า ทำรวงรังระวังฝน แสวงดีย่อมมีผล อย่าคลอเคล้ากับเหล่าพาล เหมือนปักษีอันมีปีก รู้หลบหลีกธนูพราน ถ้าประมาทจะเสียการ จะชอกช้ำระกำกายฯ

การทำนายตามเศษพระจอมเกล้าฯ นี้ ท่านให้ถือทำนายตามลักษณะตระกูล โดยแบ่งส่วนการทำนายให้ถูกต้อง แต่เดิมนั้นนัยว่าพระองค์ทรงคิดคำนวณไว้ทำนายเฉพาะบุคคลในรั้วในวังเท่านั้น