หน้า 8 : GDP ในกระเป๋า

AFP PHOTO/Christophe ARCHAMBAULT

การวิวาทะระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ “เสธ.ไก่อู” เรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

เพราะขณะที่รัฐบาลกำลังตีข่าวเรื่องตัวเลข GDP ไตรมาสแรกปีนี้เติบโตร้อยละ 3.2

และพยายามย้ำว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว

การออกมาให้สัมภาษณ์ของ “พิชัย นริพทะพันธุ์” มือเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ว่า GDP ที่ว่าโตนั้น ต่ำที่สุดในอาเซียน

นี่คือ การตีขนดหางทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้

เพราะตัวเลข GDP ที่เพิ่มขึ้น เป็นเครื่องมือหนึ่งของรัฐบาลที่ต้องการบอกภาคเอกชนว่าเศรษฐกิจไทยพ้นจากจุดต่ำสุดแล้ว

และกำลังเงยหัวขึ้น

ต้องรีบลงทุนนะเดี๋ยวตกขบวนรถไฟเศรษฐกิจ

เพราะเขารู้ว่านักธุรกิจทุกคนต้องการลงทุนในจังหวะนี้

คำถามจึงอยู่ที่ว่าสัญญาณที่ส่งมานั้น

นักธุรกิจเชื่อหรือไม่?

 

GDP ของประเทศไทยวันนี้พึ่งพาเครื่องยนต์ 2 ตัว คือ การลงทุนภาครัฐ กับการท่องเที่ยว

ส่วนการส่งออกนั้นมีแต่ทรุดกับทรุด

รัฐบาลจึงต้องหวังพึ่งเครื่องยนต์อีก 2 ตัว คือ เรื่องการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาคเอกชน

นักธุรกิจหรือชาวบ้านเหมือนกันตรงที่จะตัดสินใจควักกระเป๋าลงทุนหรือจับจ่ายใช้สอย

ถ้าเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องซื้อ เขาก็ควัก

แต่ถ้าจะต้องลงทุนเพื่ออนาคต

“ความเชื่อ” เป็นเรื่องสำคัญ

ถ้าไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะดี

เขาก็ไม่ควักกระเป๋า

นั่นคือ เหตุผลที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงออกมาตีปี๊บเรื่อง GDP

และ “เสธ.ไก่อู” ต้องออกมาชนพรรคเพื่อไทย

 

แต่ที่เหนือกว่านั้นก็คือ คสช. รู้ดีว่าปัญหาเศรษฐกิจส่งผลอย่างมากต่อการลงประชามติรัฐธรรมนูญ

เพราะประชาชนจะ “รับ” หรือ “ไม่รับ”

บางทีไม่ใช่เรื่องเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ

แต่เป็นเรื่องความพอใจ หรือไม่พอใจ คสช.

การกระตุ้นทางจิตวิทยาให้คนเชื่อว่าเศรษฐกิจดีจะช่วยเรื่องประชามติ

แต่ที่ คสช. ลืมไปก็คือ นักธุรกิจใหญ่เขาสนใจตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจ

ในขณะที่ประชาชนทั่วไป ดัชนีเศรษฐกิจของเขาอยู่ในกระเป๋าตังค์

ถ้าเงินในกระเป๋าเยอะขึ้นกว่าอดีต แสดงว่าเศรษฐกิจดี

แต่ถ้าควักแล้วเจอความว่างเปล่า

ตัวเลข GDP จะกระฉูดถึง 10

เขาก็ไม่สนใจ

และที่สำคัญที่สุด ไม่ว่า “มหาเศรษฐี” หรือ “คนเก็บขยะ”

เวลาลงประชามติ

ทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน