รำลึก 12 ปี 10 เมษายน 2553 ยังไม่มีความยุติธรรม ‘เต้น’ ฟื้นฝอยหาตะกวด นำเสื้อแดง ร่วมชู 3 นิ้ว/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

รำลึก 12 ปี 10 เมษายน 2553

ยังไม่มีความยุติธรรม

‘เต้น’ ฟื้นฝอยหาตะกวด

นำเสื้อแดง ร่วมชู 3 นิ้ว

 

10 เมษายน 2553 อีกจุดเริ่มต้นความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ผ่านมา 12 ปี ทุกปีคนเสื้อแดงจะจัดชุมนุมรำลึกถึงเหตุการณ์

ปีนี้กิจกรรมรำลึกจัดขึ้นบริเวณอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ภายใต้ชื่องาน ’12 ปียังไม่มีความยุติธรรม วีรชนเมษายน-พฤษภาคม 53′

มีทั้งนักการเมือง ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย คนเสื้อแดงมาร่วมจำนวนมาก รวมถึงพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์

บนเวทีใหญ่มีแกนนำ นปช. นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวรชัย เหมะ นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง ผลัดกันปราศรัยรำลึกเหตุการณ์กระชับยึดคืนพื้นที่การชุมนุมโดย ศอฉ. เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ถนนตะนาว แยกคอกวัว และถนนดินสอ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ย้อนเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ภายหลังการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในค่ายทหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

การนัดชุมนุมใหญ่ นปช.คนเสื้อแดง เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 12 มีนาคม ยึดถนนราชดำเนินยาวมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นพื้นที่ปักหลักชุมนุมต่อเนื่อง เรียกร้องให้ยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่

ความรุนแรงเริ่มขึ้นช่วงบ่าย 10 เมษายน เจ้าหน้าที่รัฐเปิดปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ เกิดการปะทะกันหลายจุด มีการใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และกระสุนจริง

การปราบปรามดำเนินต่อจนถึงช่วงค่ำ บริเวณแยกคอกวัวและถนนดินสอ

นำมาสู่ความสูญเสีย 25 ศพในวันเดียว เป็นประชาชน 20 ราย เจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย

“ถ้ารัฐบาลฟังข้อเสนอของประชาชนตั้งแต่ต้น ไม่ต้องยึดคืนพื้นที่ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ถ้าเขาฟังจะไม่มีการเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว เรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่า การที่ประชาชนเสียชีวิต บาดเจ็บในวันที่ 10 เมษายนเมื่อ 12 ปีก่อน เกิดขึ้นเนื่องจากการปล่อยปละละเลย รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดความรุนแรงเสียหายถึงชีวิต ก็ไม่ระงับยับยั้ง ความบกพร่องย่อมเกิดจากรัฐบาลขณะนั้น อย่างไม่อาจปฏิเสธหลีกเลี่ยงได้”

นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวบนเวที ’12 ปียังไม่มีความยุติธรรม’ ในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์ และเป็นตัวกลางให้เกิดการเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในวันที่ 10 เมษายน 2553

หลังความสูญเสีย 10 เมษายน แทนที่จะสั่งยุติปฏิบัติการปราบปรามการชุมนุมของผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยอาวุธ ความรุนแรง

รัฐบาลกลับเดินหน้าต่อจนไปสิ้นสุดวันที่ 19 พฤษภาคม ด้วยผู้เสียชีวิตรวม 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน

นายจาตุรนต์กล่าวว่า เหตุการณ์ 10 เมษายน เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ต่อเนื่องมาจากปี 2552 เหตุการณ์พี่น้องเสื้อแดงและประชาชนเป็นแสนคนออกมาต่อสู้ คัดค้านการที่องค์กรอิสระไม่ยึดโยงกับประชาชน มาล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ล้มนายกรัฐมนตรี 2 คน แทรกแซงข่มขู่พรรคการเมือง จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

ร่วมกันคัดค้านการทำอย่างนี้เป็นการล้มเจตนารมณ์ประชาชนในการเลือกตั้ง เขาไม่ได้บอกว่าจะใช้กำลังความรุนแรงล้มรัฐบาล ไม่ได้บอกจะไปยึดสถานที่ราชการ

เขามาเสนอให้ยุบสภาและเลือกตั้ง ให้ประชาชนตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาล

แต่สิ่งที่เขาเสนอ กลับต้องเจอกับการบังคับใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติ ปล่อยให้มีการกระทำความผิดของผู้มีอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่ ฆ่าพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาต่อไปอีก รวม 99 ชีวิต

อันเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการทำผิดกฎหมายได้ของฝ่ายรัฐ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ ทั้งสิ้น

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวปราศรัยว่า

จากเหตุการณ์ 12 ปีก่อน คนที่เหลือรอดจากการถูกไล่ยิงไล่ฆ่า จะส่งเสียงแบบเดิมให้คนยิงคนสั่งการได้รู้ ‘คนเสื้อแดงยังไม่ตาย’

หลายคนวิพากษ์วิจารณ์การจัดเวทีวันนี้คือการฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ นี่คือการ ‘ฟื้นฝอยหาตะกวด’ ที่สั่งฆ่าประชาชน

ช่วงที่ผ่านมา ตนไม่เคยออกมาทำกิจกรรมร่วมกับคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาว นิสิตนักศึกษา

แต่ขอให้รับรู้ว่า หัวใจคนเสื้อแดงยังแน่แท้กับการต่อสู้ เคียงข้างคนหนุ่มสาวตลอดเวลา ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนจุดยืนคนเสื้อแดงที่จะยืนเคียงข้างคนรุ่นใหม่ได้

คนเสื้อแดงสู้มาแล้วสิบกว่าปี เคยเจ็บมาก่อน ทำผังใส่ชื่อพวกเราว่าคิดร้ายทำลายบ้านเมือง ประสงค์ร้ายต่อสถาบัน เผยแพร่ผังล้มเจ้า กระพือโหมจนบางคนหลงเชื่อ ให้ฆ่าได้ ฆ่าแล้วก็ออกมาล้างถนน เดินหน้าชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป

เคยใส่ร้ายป้ายสียัดเยียดผังและข้อหาให้คนเสื้อแดง วันนี้ใส่ร้ายคนหนุ่มสาวด้วยข้อหาเดียวกัน จะให้ผลักไสลูกหลานไปถูกฆ่าแบบเรา เราทำไม่ได้

‘ผ่านมา 12 ปีพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีผังล้มเจ้า มีแต่พวกอ้างเจ้าล้มประชาชน’

นายณัฐวุฒิกล่าวฝากไปถึงผู้มีอำนาจที่กำลังฝืนกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อสังคมลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง จะไม่หยุดนิ่งอีกต่อไป คนรุ่นใหม่เป็นพลังแห่งยุคสมัย เป็นพลังอันชอบธรรมที่กล้าลุกขึ้นท้าทายอำนาจจอมปลอม

‘วันนี้ประชาชนอาจทำอะไรไม่ได้เพราะคุณยังอยู่ในอำนาจ แต่อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี คนรุ่นต่อไปจะขุดวิญญาณคุณขึ้นมาถ่มถุยให้ย่อยยับลงไป’

นายณัฐวุฒิยังระบุว่า การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่มีอุปสรรคอันตรายรออยู่ ขอให้สู้ด้วยความรอบคอบรัดกุม เอาประสบการณ์ที่ผ่านมา 2-3 ปี มาสรุปถอดบทเรียน

เอาบทเรียนจากการชุมนุมคนเสื้อแดงมาคิดอ่านให้ตกผลึกเพื่อเดินต่อไป แต่อย่าเดินเข้า ‘พื้นที่สังหาร’ อย่าเดินไปเป็นเหยื่อความโหดร้ายรุนแรงเหมือนที่คนเสื้อแดงถูกกระทำ

ขอให้ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยสามัคคีกัน ไม่ว่าบริบททางการเมืองจะเป็นอย่างไร จะมีการเลือกตั้งใหญ่ เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อย่าลืมว่าทุกคนยังเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกัน เรื่องนี้อย่าให้เปลี่ยนแปลงไป

ในทุกที่มีของจริงของปลอมปนกันอยู่ เสื้อแดงสิบกว่าปีที่แล้วก็มีของปลอมปนอยู่ ในทุกพรรคการเมืองก็ไม่เชื่อว่าจะมีของจริงทั้งหมด หรือของปลอมทั้งหมด

แต่หัวใจฝ่ายประชาธิปไตยยังต้องทำภารกิจใหญ่ด้วยกันอีกมาก การสามัคคีในความรู้สึก ในทางวิธีคิด แม้จะแตกต่างบางแง่บางมุม แต่ยังหวังให้หันหน้าไปทางเดียวกัน

‘เขาบอกว่าคนฝั่งประชาธิปไตยเป็นคนตาสว่าง ถ้าตาสว่างก็อย่าหน้ามืด มองให้ชัดอันไหนมิตร อันไหนศัตรู อย่าหันหน้าชนกัน แต่ต้องหันหลังชนกันเพื่อสู้กับเผด็จการ ป้องกันระวังภัยให้กันไปจนตลอดเส้นทาง

ส่วนที่เห็นต่างถ้าเชื่อมประสานกันได้ ก็อย่าผลักไส เส้นทางเพื่อประชาธิปไตย ตราบใดยังเดินไปทางเดียวกัน ใครจะวิ่ง ใครจะเดิน ใครจะคลาน ใครจะนั่งอยู่ข้างทางก็อย่าเยาะเย้ยถากถาง เพราะแต่ละคนแต่ละหัวใจ ทำภารกิจต่อสู้ได้ไม่เหมือนและไม่เท่ากัน

ไม่ต้องห่วงว่าของปลอมจะอยู่ได้นาน เหตุการณ์จะเคี่ยวกรำ เวลาจะคัดกรอง ของปลอมยังไงก็ปลอม จะสำแดงสันดานออกมาในที่สุด ส่วนของจริงจะถูกยิง ถูกขัง ถูกยัดเยียดข้อหา ทุบตี ก็ยังจริง’

ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวปราศรัยว่า เราจัดรำลึกสดุดีวีรชน ‘เมษา-พฤษภา 2553′ ทุกปี หมายความว่าคนเสื้อแดง ประชาชนไม่เคยลืมการต่อสู้ ไม่เคยลืมวีรชนที่ล้มตาย บาดเจ็บ ติดคุกถูกคุมขัง

เราชูคำขวัญ ’12 ปียังไม่มีความยุติธรรม’ ไม่มีความยุติธรรมเพราะประชาชนยังไม่มีอำนาจที่แท้จริง บ้านเมืองยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ดังนั้น เราจะไม่ทวงถามความยุติธรรม ประชาชนเท่านั้นที่จะต้องเอาความยุติธรรมกลับมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการร้องขอ เพราะขอเท่าไหร่เขาไม่ให้

ถ้าจะเรียกร้องความยุติธรรม ต้องร่วมต่อสู้กับประชาชนให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

ในช่วงที่เรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง การไต่สวนการตายของ 20 กว่าศพพัฒนาเป็นลำดับ

กระทั่งศาลไต่สวนสรุปว่า คนตายไม่มีอาวุธ การตายเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นการตายเมษายน พฤษภาคม กระทั่ง 6 ศพวัดปทุมฯ

แต่หลังจากรัฐประหาร 2557 คดีเหล่านี้ก็ถูกซุก คนสั่งฆ่ายังลอยนวล เพียงชั่วเวลาที่เรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ก็มีการขยับขับเคลื่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่รัฐประหารทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบหมดจนถึงบัดนี้

วีรชนเมษา-พฤษภา 2553 ไม่มีอนุสรณ์สถาน เราไม่ได้ต้องการ สิ่งที่เราต้องทำคือ ร่วมการต่อสู้ขับเคลื่อนของประชาชน เราจึงจะได้ความยุติธรรม และอาจได้อนุสรณ์สถานวีรชน ได้มาด้วยการต่อสู้เท่านั้น ไม่ใช่การร้องขอ

คนเสื้อแดงจงเรียนรู้ร่วมต่อสู้ด้วยหลักการ ด้วยเป้าหมายที่เหมือนกัน โดยเฉพาะการต่อสู้ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีเพื่อบอกให้เขารู้ว่า ฆ่าเท่าไหร่ ยุบเท่าไหร่ ก็ยังมีคนต่อสู้เกิดใหม่ที่มีคุณภาพยิ่งกว่าผู้นำและนักต่อสู้รุ่นเก่า

อย่าหวังว่าการฆ่าหรือยุบพรรคจะทำลายการต่อสู้ของประชาชนได้ ตรงข้าม คุณจะมีศัตรูที่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

สรุปด้วยคำปราศรัยของนายจาตุรนต์ ฉายแสง

เรามารำลึกวีรชน 10 เมษา-พฤษภา 2553 เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้พวกเขา แต่ถ้าจะให้มีคุณค่าความหมาย ต้องนึกถึงเจตนารมณ์ของพวกเขาที่ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ให้การเลือกตั้งมีความหมาย

ถ้าพรุ่งนี้มีการเลือกตั้ง จะมีความหมายแบบที่พี่น้องเสื้อแดงและประชาชนเมษา-พฤษภาปี 2553 เรียกร้องหรือไม่

ไม่มีความหมาย เพราะขณะนี้การเลือกตั้งเป็นการเลือกตั้งโกหกจอมปลอม คนคนเดียวเลือกได้ 250 คน เท่ากับเสียงคน 19 ล้านคน คนคนเดียวแต่งตั้งคน 250 คนมาเลือกตัวเองเป็นนายกฯ

เรามารำลึกถึงวีรชน เรามาบอกว่าความยุติธรรมยังไม่เกิดขึ้น ระบบที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่ยุติธรรมยังอยู่ ระบบที่พร้อมทำลายเจตนารมณ์ประชาชนในการเลือกตั้งก็ยังอยู่

ระบบที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียง ลุกขึ้นมาเรียกร้องเสรีภาพก็ถูกปราบถูกทำร้าย ผู้ปราบปรามทำร้ายก็ยังลอยนวลอยู่ ไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เรามาบอกว่าระบบเหล่านี้ต้องแก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก

บ้านเมืองต้องเป็นประชาธิปไตย ไม่ให้วีรชนสูญเสียชีวิตไปเปล่าๆ ต้องช่วยกันทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน

ให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง