ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 เมษายน 2565 |
---|---|
ผู้เขียน | สมชัย ศรีสุทธิยากร |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
สมชัย ศรีสุทธิยากร
ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต
5 ปีรัฐธรรมนูญไทย
ทิ้งอะไรให้สังคม
6เมษายน พ.ศ.2565 เป็นการครบรอบการใช้รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในวันเดียว เดือนเดียวกัน เมื่อ 5 ปีก่อน
รัฐธรรมนูญที่ตราระบุเหตุผลสำคัญว่า “การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพหรือราบรื่นเรียบร้อย เหตุส่วนหนึ่งจากการที่มีผู้นำไม่นำพาหรือไม่นับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง ทุจริตฉ้อฉลหรือบิดเบือนอํานาจ หรือขาดความตระหนักสํานึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนจนทําให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล” รัฐธรรมนูญใหม่จึงเป็นการร่างมาเป็นทางออกของสถานการณ์ดังกล่าว
ครบ 5 ปีแห่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว มาดูกันว่า รัฐธรรมนูญนี้ทิ้งอะไรให้สังคมไทยบ้าง
ภาพฝันการปฏิรูปประเทศ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเรื่องการปฏิรูปประเทศเป็นหัวใจสำคัญ แยกเป็นหมวดหนึ่งของรัฐธรรมนูญ คือ หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ตั้งแต่มาตราที่ 257 ถึง 261 กล่าวถึงประเด็นการปฏิรูปประเทศต่างๆ แบบจริงจังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปด้านการเมือง ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ
มาตรา 259 ยังกล่าวถึงการให้เริ่มดำเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายในหนึ่งปีนับแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ให้มีแผนขั้นตอน การวัดผลดำเนินการ รวมถึงผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังจะบรรลุในระยะเวลาห้าปี
6 เมษายน 2565 คือครบห้าปี คงไม่ต้องถามว่าอะไรบรรลุแล้วบ้าง เพราะถ้าประสบความสำเร็จ รัฐบาลคงแถลงข่าวกันเป็นที่เอิกเกริก
แต่นี่ปล่อยผ่านเงียบฉี่ราวกับไม่ต้องการให้คนจดจำคำสัญญาต่างๆ ที่เคยกล่าวไว้
เช่นเดียวกับแผนปฏิรูปประเทศต่างๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่รายงานกระดาษที่เอางานประจำของราชการมานำเสนอต่อรัฐสภาทุกสามเดือน แต่แทบไม่มีอะไรที่เป็นสาระหรือเกิดผลการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
ความขัดแย้งในบ้านเมืองยังคงดำรงอยู่
พรรคการเมืองยังเป็นแหล่งรวมนักเลือกตั้งไม่มีการพัฒนาเป็นสถาบัน
การทุจริตในแวดวงการเมืองและในระบบราชการยังมีทั่วไป
กฎหมายล้าสมัยยังไม่มีการแก้ไข กระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมให้ผู้คน
การศึกษายังไม่มีการปฏิรูป ความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจกระจายไปทั่ว
ไม่ต้องกล่าวถึงความคืบหน้าในการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งถึงทุกวันนี้ กฎหมายปฏิรูปโครงสร้างตำรวจยังเงียบหายในกอไผ่
รัฐธรรมนูญ 2560 จึงเป็นเพียงการสร้างภาพฝันของการปฏิรูปประเทศเท่านั้น แต่ความเป็นจริงอย่างไร ไม่มีใครกล่าวถึงแล้ว
การสร้างการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ
การออกแบบกลไกนานัปการในรัฐธรรมนูญ นับแต่การออกแบบกติกาการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดพรรคเล็กพรรคน้อยมี ส.ส.หนึ่งเสียงในสภามากมาย นำไปสู่การเสนอประโยชน์ดึงเข้าร่วมรัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมรัฐบาลมากที่สุดถึง 18 พรรค การลงมติสำคัญในสภาแต่ละครั้งมีปรากฏการณ์ของการเรียกรับประโยชน์
มาตรา 101(9) ที่ให้ ส.ส.ที่ถูกมติพรรคขับออก สามารถหาพรรคใหม่สังกัดได้ภายใน 30 วัน ทำให้ระบบพรรคการเมืองขาดความเข็มแข็ง เกิดปรากฏการณ์งูเห่ามากมาย
การให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสั่งยุบพรรคการเมืองได้ ด้วยเหตุที่ กกต.เชื่อว่าเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติพรรคการเมืองในสารพัดข้อหา ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 และยังสามารถสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ทำให้พรรคและบุคลากรทางเมืองที่น่าจะทำประโยชน์แก่บ้านเมืองได้ต้องหมดบทบาททางการเมืองไป
เสถียรภาพทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้น จึงเป็นเสถียรภาพของฝ่ายปกครองที่มุ่งบั่นทอนความเข้มแข็งของฝ่ายตรงข้ามโดยใช้วิธีการทางกฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่หมู่พวกของฝ่ายตนเองเท่านั้น และไม่ใช่ภาวะที่อยู่ได้นาน
องค์กรอิสระ ที่ทำงานแบบราชการประจำ
การกำหนดที่มาขององค์กรอิสระ กำหนดคุณสมบัติที่สูงลิ่วและลักษณะต้องห้ามมากมาย ทำให้องค์กรอิสระไม่สามารถได้คนรุ่นใหม่มาปฏิบัติหน้าที่
กลายเป็นที่อยู่ของข้าราชการระดับสูงที่เกษียณอายุจากงานประจำ มีทัศนคติและพฤติกรรมทำงานเชิงรับ รอคอยการนำเสนอเรื่องจากเจ้าหน้าที่
ไม่เห็นผลในการทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น คณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อไม่มีการกำหนดกรอบเวลาในการให้ใบเหลืองใบแดงหลังเลือกตั้ง ด้วยเจตนาดีที่ต้องการให้การทุจริตไม่มีอายุความ แต่ผลกลับกลายเป็นความยืดยาดที่ไม่สามารถปิดคดีภายในหนึ่งปี ลากยาวเป็นปีกว่าสองปี จึงจะส่งศาลให้วินิจฉัย
ซึ่งกว่าศาลจะตัดสิน ผู้ถูกกล่าวหาอาจอยู่จนเกือบครบวาระสี่ปีไปแล้ว แล้วจะเป็นประโยชน์อะไรต่อการดำเนินการ
การดำเนินการต่างๆ ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่า ตัดสินด้วยความเป็นอิสระ หรือด้วยความเกรงใจผู้มีอำนาจที่แต่งตั้งพวกเขาเข้ามา เช่น การวินิจฉัยของ ป.ป.ช. กรณีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อนของหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง การรวบรัดตัดความในการวินิจฉัยของ กกต. ในกรณีให้พ้นตำแหน่ง ส.ส. และการยุบพรรคการเมือง การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการเร่งรีบยุบพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถึงสองพรรค เป็นต้น
ผลพวงของการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญขององค์กรอิสระต่างๆ จึงยากที่จะสร้างความเชื่อถือเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน
รัฐธรรมนูญเพื่อการครองอำนาจ
ของผู้ปกครองเดิม
การมีบทเฉพาะกาลในมาตรา 269 ที่ให้มี ส.ว. 250 มาจากแต่งตั้ง โดยตำแหน่ง และสรรหาแบบแปลกประหลาด และยังมีหน้าที่ตามมาตรา 272 ให้ร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี คือกลไกเพื่อค้ำจุนอำนาจของคณะผู้ปกครองชุดปัจจุบันที่แปลงกายมาจากทหารโดยแท้
การกำหนดให้การแก้ไขกติการัฐธรรมนูญ ในมาตรา 256 ให้ยากเย็นเข็ญใจ จะร่างใหม่ก็ไม่ได้ต้องไปทำประชามติ คือ หลักค้ำประกันว่า กติกาที่ถูกเขียนเพื่ออำนาจของตนจะไม่ถูกเปลี่ยนได้โดยง่าย
หากจะเปลี่ยน ก็เปลี่ยนได้เป็นบางมาตราหากสิ่งนั้นเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายตน เช่น เปลี่ยนบัตรเลือกตั้งจากใบเดียวเป็นสองใบ ลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายลง เพื่อเชื่อว่าฝ่ายตนจะสามารถได้ชัยชนะในระดับเขต
ไม่ได้มองที่ประโยชน์ของประเทศหรือประชาชนแต่อย่างใด
ห้าปี ให้อะไรกับสังคมไทย
ห้าปีของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงเป็นห้าปีที่ประชาชนคนไทย ได้ผู้ปกครองประเทศหลังเลือกตั้งที่ขาดความสามารถ แต่ได้รับเลือกจากการออกแบบกลไกการมี ส.ว. มาร่วมเลือกและค้ำจุนอำนาจ
ได้วุฒิสภาที่ลงมติทุกครั้งแทบจะเหมือนกันโดยปราศจากความแตกต่างในมุมมองความคิด
ได้สภาผู้แทนราษฎรที่มีแต่ข่าวคราวการเรียกรับประโยชน์ทุกครั้งที่มีการลงมติสำคัญ
ได้องค์กรอิสระที่ทำงานได้ต่ำกว่าความคาดหวังของประชาชน
และได้รัฐธรรมนูญที่เลวร้ายที่สุดและแก้ยากที่สุดมาเป็นกติกาสำคัญของบ้านเมืองให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกกันต่อไป
สิ่งปรารภไว้ในส่วนต้นของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ว่าจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ดูเหมือนจะห่างไกลจากความสำเร็จที่ปรารถนา
โดยเฉพาะประเด็น “เหตุส่วนหนึ่งจากการที่มีผู้นำไม่นำพาหรือไม่นับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง ทุจริตฉ้อฉลหรือบิดเบือนอํานาจ”
ห้าปีของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ให้บทเรียนอะไรมากมายแก่สังคมไทยจริงๆ