กาละแมร์ พัชรศรี : คำสอนและสัมผัสจากองค์ทะไลลามะ

นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ฉันเดินทางไปดารัมซาล่า (ธรรมศาลา) และมีจุดหมายเดียวคือ ไปเรียนธรรมะจากองค์ทะไลลามะ ประมุขและผู้นำทางจิตวิญญาณชาวทิเบต

นำโดยเพื่อนรักวู้ดดี้ และท่าน ว.วชิรเมธี คราวนี้วู้ดดี้พาพระสงฆ์และคนไทยไปเกือบร้อยคน และครั้งนี้มีคนมาร่วมฟังคำสอนจากท่านมากกว่าปีก่อนถึงสองเท่า

ท่านยังดูสดใสแข็งแรงและมีอารมณ์ขันเช่นเคย

ครั้งแรกที่ท่านปรากฏตัว ฉันรู้สึกได้ทันทีว่าท่านกำลังเสด็จมาเพราะอยู่ดีๆ ฉันก็ขนลุกไปทั้งตัว

พอหันหน้าไปก็เห็นว่าท่านเดินเข้าประตูมาพอดี พลังแห่งความรักและเมตตาแผ่รัศมีมาจนเรารู้สึกได้ทีเดียว

คนทั่วเอเชีย ตะวันตกและชาวทิเบตมารอเข้าเฝ้าและรอร่วมหมื่นคน ท่านสอนทั้งหมด 4 วันด้วยกัน เนื้อหาในปีนี้ลงลึกมากกว่าปีที่แล้ว

มีแบบที่เข้าใจง่ายและต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ

 

ปีนี้ฉันเลือกทำเลที่ฟังบริเวณสวนชั้นล่าง คลื่นวิทยุก็ยังส่งมาถึง ท่านเทศน์เป็นภาษาทิเบตและมีล่ามแปลหลายภาษา ปีนี้เราได้พี่ฌอร์นจากสำนักข่าว BBC เป็นผู้แปล น้ำเสียงไพเราะ แปลเก่ง การได้นั่งข้างในเราก็จะได้มีโอกาสเห็นองค์ทะไลลามะไปด้วย แต่คนจะหนาแน่นหน่อย เบียดแบบเข่าชนเข่าทั้งด้านข้างและด้านหน้า ขยับตัวลำบาก เมื่อยแล้วเมื่อยอีก ปวดหลังอีกเลยขอย้ายตัวเองมานั่งสูดอากาศเย็นๆ โล่งๆ ที่สวน ดูวิวภูเขาหิมาลัยคลอเคลียสายหมอก ยืดเหยียดขาได้ตามสะดวก เลยทำให้มีสมาธิในการฟังมากขึ้น

แม้จะออกมานั่งข้างนอก แต่เหล่าลามะที่นำนมเค็มอุ่นๆ มาเทให้กับคนที่นั่งเรียน ก็เดินมาเทให้ถึงที่ กินกับขนมปังแบบทิเบตช่างเป็นอาหารว่างที่เข้ากัน

พุทธมหายานนั้นเน้นความรักและความเมตตาที่มีต่อผู้อื่น เราจะได้ยินคำว่า “compassion” ที่แปลว่า “เมตตา” ทุกๆ 5 นาที

 

ครั้งนี้ท่านบอกว่า เมื่อเรารักและดูแลสุขภาพร่างกายเราอย่างไร เราก็ควรดูแลสุขภาพใจเราให้ดีเช่นกัน และที่สำคัญกายกับใจมันส่งผลต่อกัน อย่าไปโกรธเกลียดใคร เพราะมันจะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราลดลง ทำให้เราแก่ และทำให้เราเป็นทุกข์เอง ความโกรธเกลียดต่างๆ มันเกิดง่าย แต่เราต้องฝึกมีเมตตา มันต้องฝึกฝน มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกในตอนแรกๆ ที่ต้องเมตตาต่อคนที่เราไม่ชอบ อาจเจ็บปวดบ้าง แต่เราต้องมีวินัย ฝึกฝนๆๆ เพื่อให้เรามีภูมิต้านทาoต่อเรื่องลบๆ ที่เกิดขึ้น

ท่านยังบอกว่าอีก “ใจ” นั้นสำคัญยิ่งกว่า “ร่างกาย” ถ้าจิตใจกังวล ร่างกายก็ไม่ผ่อนคลาย ร่างกายป่วยเรายังต้องกินยา แต่จิตใจเราป่วยล่ะทำอย่างไรให้ใจมีความสุข

พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ความจริง ให้รู้จักวิธีพ้นทุกข์ ท่านได้แต่สอน แต่เราต้องเป็นคนลงมือทำเอง

ไม่ว่าคนหรือสัตว์ต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่คนยังมีปัญญา มีกระบวนความคิดที่จะพ้นจากทุกข์ได้ การสวดมนต์เพียงอย่างเดียวอาจยังไม่ช่วยอะไร แต่เราต้องลงมือปฏิบัติด้วย

เราต้องค้นหาสาเหตุแห่งทุกข์ให้ได้และรู้ว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุข พุทธศาสนาถือเป็น “วิทยาศาสตร์แห่งจิตใจ” ต้องค้นคว้า ลงมือทำ แล้วจะได้คำตอบ

ยิ่งเรายึดกับตัวเองเราก็ยิ่งทุกข์ อิจฉา โลภ ชิงดีชิงเด่น คิดไม่ดี แบ่งชัดเจนว่าตัวเรา ตัวคนอื่น การที่เราคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเราจะคลายความยึดตัวตน ลดอัตตาในตัวเอง

ท่านบอกว่า เราอย่าไปยึดกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เช่น ถ้าตอนนี้เราโกรธ พอผ่านไปสัก 1 สัปดาห์ ความโกรธของเรามันยังคงอยู่อย่างนั้นหรือเปล่า มันหายไปแล้ว สิ่งที่เราเห็นมันไม่ใช่สิ่งที่มันเป็น รู้จักรับมือ

ลดความรู้สึกลบแบบค่อยเป็นค่อยไป

 

สอนไปสักพักท่านให้พักเบรกไปเข้าห้องน้ำได้ แต่ตัวท่านก็ยังอยู่ที่เดิมเพื่อตอบปัญหาคนที่ถามมาจากด้านล่าง มีคนหนึ่งถามว่าทำไมคนทิเบตถึงจิตใจดีจัง

ท่านตอบว่า เมื่อก่อนทิเบตก็เป็นนักรบ แต่พอได้ศึกษาพุทธศาสนาก็มีเมตตามากขึ้น ไม่ฆ่าฟันกันอีก ให้ตั้งจิตว่าอยากทำกุศลต่อผู้อื่นจะทำให้เรามีเมตตามากขึ้นเรื่อยๆ

มีคนถามอีกว่า อยากอยู่ดินแดนที่เหมือนสวรรค์อย่างนี้ ต้องทำอย่างไรให้ชีวิตต่อไปให้ได้เกิดที่ดีๆ บ้าง

ท่านบอกว่า ให้ลงมือทำตอนนี้ได้เลย ท่านก็จะเหมือนอยู่ในสวรรค์แล้ว อย่าทำตัวให้มีความทุกข์ หมั่นปฏิบัติภาวนา ควบคุมจิตใจ ลดกิเลส ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้นมาได้เลยในชีวิตนี้

คำตอบนี้ทำเอาคนปรบมือกันดังลั่น

 

ฉันสังเกตว่าทุกๆ วัน เรื่องที่ท่านจะเปิดคือเรื่องสุขภาพกายทั้งนั้น ให้ดูแลสุขภาพให้ดี รักษาศีล ไม่ดื่มเหล้าเพราะมันจะยิ่งให้เราไม่มีสติ ไม่รู้ตัว ฉันคิดว่าเมื่อเรามีสุขภาพกายที่ดีแล้ว เราก็สามารถมีแรงไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ ไม่อย่างนั้นลำพังตัวเองก็ยังไม่ค่อยไหว จะเอาอะไรไปช่วยเขาได้

ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันที่ฉันชอบมาก เพราะท่านได้สอนให้เรารู้จักการเจริญโพธิจิต คือจิตของการเป็นโพธิสัตว์เพื่อรับใช้คนอื่น แม้ว่าเราจะต้องแลกความสุขของเรากับความทุกข์ของคนอื่นก็ตาม

ท่านบอกว่า ถ้าเรารวย เรามีชื่อเสียง มันก็แค่นั้น แต่เราก็จะโดดเดี่ยวไม่เหลือใครเลย มีสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นเพราะความคิดถึงแต่ตัวเองของเรา แต่ถ้าเราจิตใจดี คิดถึงผู้อื่น มีความปรารถนาดีต่อผู้อื่น มีความอบอุ่น อยากช่วยเหลือผู้อื่นในทุกวัน เราก็จะมีเพื่อนที่ดีมากมาย

วิธีการเจริญโพธิจิตทำได้ทุกวันตอนตื่นและก่อนนอน ให้เราอธิษฐานจิตให้รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ให้เราบรรลุธรรม ให้เราได้ช่วยเหลือผู้อื่น ร่วมกับการปฏิบัติภาวนา รักษาศีล เวลาผ่านไปจะเห็นผลและจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ ก็คือการกำหนดเป้าหมายในการดำรงชีวิตในทุกๆ วันนั่นเอง

ท่านบอกว่าการมาเรียนครั้งเดียวอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาเพิ่มเติม มันต้องใช้เวลาไปเรื่อยๆ จะกี่สิบปีก็ตามก็ขอให้ทำไป

ทุกอย่างอยู่ที่ลงมือทำ เราโชคดีที่เกิดมาเป็นคน มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้มีปัญญา มีครูบาอาจารย์ ได้ลงมือปฏิบัติ ลองสักตั้งก็ไม่เสียหลาย จะได้ไม่เสียชาติเกิดในครั้งนี้…