‘ชีวิตเลอะเทอะ’ ของ ‘น้องเอก ไพรวัลย์’ | เปลี่ยนผ่าน

รายการ “เอื้อย talk” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี เพิ่งจับเข่าคุยกับ “ไพรวัลย์ วรรณบุตร” อดีต พส.ผู้โด่งดัง ซึ่งดูจะมีชีวิตที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่พอสมควรหลังลาสิกขา

ไพรวัลย์อยากให้คนทั่วไปเรียกเขาว่า “น้องเอก” เพราะคำหน้านามว่า “ทิด” นั้นแลดูห่างเหินและเป็นทางการมากเกินไป

ขณะที่พิธีกรก็รีบจู่โจมด้วยคำถามสำคัญว่า ตอนนี้ชีวิตฆราวาสของ “น้องเอก” ลงตัวแล้วหรือยัง?

คำตอบที่ได้คือหลายอย่างเริ่ม “เข้าที่เข้าทาง” แล้ว แม้จะมีบางสิ่งที่ยังไม่คุ้นชินอยู่บ้าง เช่น การหัดใส่นาฬิกาเพื่อดูเวลาและตรวจสอบการทำงานของสภาพร่างกาย รวมทั้งการใส่เสื้อผ้าแบบคนปกติ

“ความเจ๋งอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า ผมจะใช้คำนี้ คือท่านออกแบบยูนิฟอร์ม (เครื่องแบบ) ที่มันง่ายที่สุดต่อการดำรงชีพ ถ้าคุณอยากง่ายคุณไปบวชเลย แล้วคุณจะไม่ต้องมานั่งปวดหัว วันนี้ฉันจะใส่เสื้อสีอะไร กางเกงแบบไหน ถ้าคุณเป็นพระคือแบบเดียวกันทุกงาน ฟรีสไตล์ไปได้หมด แต่พอเป็นฆราวาสมันไม่ใช่แล้วครับ”

“น้องเอก” บอกว่ามุมมองของเขาที่มีต่อปัญหาสังคมและบ้านเมืองนั้นยังคงเดิม เพียงแต่อาจมีเวลาพูดเรื่องเหล่านี้ลดน้อยลงกว่าแต่ก่อน ด้วยเงื่อนไขชีวิตอันผันแปรไป

“คนสงสัยว่าตอนเป็นพระเห็นคอลเอาต์เยอะจัง พูดเยอะจัง ก็มันว่างไงฮะ มีเวลาเยอะ ตอนเป็นพระน่ะ เราไม่ได้ต้องทำมาหากิน ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเลี้ยงครอบครัว ต้องดูแลแม่ ผมเป็นพระ ผมจึงรู้สึกว่าวิธีการที่ผมจะตอบแทนญาติโยมที่เขาอุปัฏฐากผม ที่เขาถวายนู่นนี่ให้ผม ก็คือผมพูดแทนชาวบ้านที่เขาไม่มีเวลาที่จะพูด เขาไม่กล้าที่จะพูด

“แต่พอออกมาเป็นฆราวาส โอ้โห! ไอ้เรื่องส่วนตัวที่เราต้องบาลานซ์กับเรื่องที่เราต้องพูดเนี่ยมันพอกันเลย คนจึงสงสัยว่าทำไมทิดไพรวัลย์เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ จริงๆ อยากพูดนะฮะ ขอให้มีคนถามเถอะ ผมพร้อมที่จะพูด ถ้าเห็นประเด็นทางศาสนาทางพระ อยากได้ความเห็นจากผม ผมยินดีเสมอ พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ตลอดเวลา”

คำถามต่อเนื่องคือสมัยก่อน “มหาเปรียญ 9” ที่เก่งๆ มักสึกออกมาเป็น “นักปราชญ์-ราชบัณฑิต” แต่ทำไม “อดีตสามเณรเปรียญ 9-นาคหลวง” เช่นไพรวัลย์ จึงสละผ้าเหลืองเพื่อออกมาใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างจากครูบาอาจารย์เหล่านั้น?

“ผมไม่ชอบใช้ชีวิตแบบจำเจ ผมไม่ชอบใช้ชีวิตแบบไปทางเดียว เอาที่เรารู้สึกว่าอยู่ในมุมหรืออยู่ในจุดที่เรามีความสุขดีกว่า มีคนพูดด้วยซ้ำนะครับว่าสึกมาแล้วเลอะเทอะจัง ผมชอบคำว่าเลอะเทอะนะ ผมบอก แน่นอนชีวิตต้องเลอะเทอะ ชีวิตขาวสะอาดมันไม่มีทาง อย่าไปคาดหวังว่าชีวิตคุณต้องขาวสะอาดหรูหราพรีเมียม ไม่ใช่ ชีวิตต้องเลอะเทอะ

“เลอะเทอะมันมาพร้อมกับความสนุก เลอะเทอะมันมาพร้อมกับการได้ทดลอง ได้เป็น ได้ลอง เป็นเรื่องปกติ ดังนั้น ช่วงหนึ่งผมอาจจะเลอะเทอะก็ได้ อย่างเช่นช่วงนี้ที่กำลังเป็นอยู่”

“น้องเอก” ตอบคำถามด้วยความมั่นใจ

หลังจากนั้น รายการได้ชวนไพรวัลย์แสดงความคิดเห็นต่อ “คณะสงฆ์ไทย” ที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนานถึง 18 ปี

เริ่มด้วยคำถามแรกคือ คุณคิดอย่างไรที่พระผู้ใหญ่กังวลเรื่องการไม่มีพระรุ่นใหม่ๆ มาช่วยเผยแผ่-สืบทอดพุทธศาสนา? ซึ่งอดีต พส.ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ประเด็นคือคุณไม่สนับสนุนไง คุณไม่รักษาพระที่เขามีความคิดความอ่าน ผมเห็นเยอะนะครับ เดี๋ยวนี้พระรุ่นใหม่พอไปได้ระดับหนึ่งก็ลาสิกขากันหมด เรียนจบเปรียญ 9 ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ พอเขามีความรู้เขาก็ออกไป เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่มีที่ทางในคณะสงฆ์

“คุณอยู่ในคณะสงฆ์ ถ้าคุณอยากเติบโต อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ อยากมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีในทางคณะสงฆ์ คุณก็ต้องทำตัวเชื่องๆ มีความรู้ก็เหมือนไม่มี เสนอความคิดความเห็นอะไรไม่ได้ ต้องทำตามที่พระผู้ใหญ่แนะนำพร่ำสอน ซึ่งผมรู้สึกว่าพระรุ่นใหม่หลายรูปท่านไม่อยากเป็นแบบนั้น”

คำถามถัดมาคือ คณะสงฆ์จะปฏิรูปตัวเองได้หรือไม่? ซึ่ง “น้องเอก” ตอบอย่างไร้สิ้นความหวังว่า

“คณะสงฆ์ไม่เคยปฏิรูปตัวเองเลยฮะ คณะสงฆ์ไม่มีความกล้าหาญที่จะทำแบบนั้น ในทุกยุคทุกสมัย คณะสงฆ์โดนปฏิรูปโดยคนข้างนอกทั้งนั้น โดยฝ่ายการเมือง การแก้กฎหมายการอะไร ไม่ได้เกิดจากตัวคณะสงฆ์ที่ขับเคลื่อนเอง

“อาจจะเคยมีในยุคก่อนๆ บ้าง เช่น คณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนา พระในยุคพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ซึ่งหลังจากนั้นไปแล้ว ผมยังไม่เห็นยุวสงฆ์รุ่นใหม่ที่จะมีพลังหรือมีความกล้าหาญที่จะทำเรื่องแบบนี้”

 

เมื่อถามต่อว่าพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์อย่างแพรวพราวของอดีต “พส.ไพรวัลย์-สมปอง” ถือเป็นการนำร่องปฏิรูปคณะสงฆ์หรือไม่? อดีตมหาเปรียญ 9 แห่งวัดสร้อยทอง ไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่กลับพูดถึงราคาที่เขาและคนใกล้ตัวต้องจ่าย เพราะการมีวิถีปฏิบัติอันผิดแผกแหวกแนวออกไป

“แต่ถามว่าการทำแบบนั้นต้องแลกด้วยอะไรครับ ต้องแลกด้วยการที่ผมกับพี่ปองไม่สามารถอยู่ในความเป็นพระได้ ต้องแลกกับการที่รักษาการเจ้าอาวาสผมไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส ต้องแลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ข้างบนหรือพระผู้ใหญ่มองว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ อย่าให้มันเป็นแบบนี้ เพราะเดี๋ยวมันจะคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็นคนรุ่นใหม่นู่นนี่นั่น ก็ถูกกำราบหมด”

ทิดสึกใหม่ย้อนเวลาไปในช่วงปีก่อน ที่เขาและเพื่อนร่วมวัด “สมปอง นครไธสง” เคยถูก “พระผู้ใหญ่” ติติงอย่างหนัก

“ผมไม่ค่อยสนใจพระผู้ใหญ่ และพระผู้ใหญ่หลายคนผมไม่ศรัทธา ผมบอกเลย ยิ่งมียศสูงๆ ผมไม่ศรัทธา เพราะผมรู้สึกว่าไม่ได้เป็นแบบอย่างอะไรที่ควรแก่การจะมาตำหนิผมได้

“คุณไม่ได้มีคุณธรรมอะไรเลย คุณอยู่ในตำแหน่งการปกครอง คุณไม่เคยทำอะไรเพื่อพระชั้นผู้น้อย คุณไม่เคยทำอะไรเพื่อชาวบ้านที่เขาเป็นคนยากคนจน คุณอยู่แต่กับคนในระดับสูงๆ คุณหญิงคุณนาย คนมีเงินมีทอง ผมรู้สึกว่าหลายคนมีวิถีปฏิบัติที่ไม่ได้น่าเคารพ

“แต่ถามว่าพระผู้ใหญ่หลายท่านที่ทำตัวน่าเคารพ แล้วเขาติติงผม แล้วผมฟัง มีไหม? มี เช่นอาจารย์พยอม (กลฺยาโณ) ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่แบบอาจารย์พยอม ถ้าด่าผม ผมจะพนมมือ แล้วผมจะฟัง เพราะผมรู้สึกว่าพระแบบนี้เป็นแบบอย่างได้ แล้วผมควรฟังท่าน”

 

ปัจจุบัน “น้องเอก” นิยามว่าตนเองประกอบอาชีพเป็น “ฟรีแลนซ์” เขายอมรับว่ากระแสความนิยมชมชอบจากมหาชนที่เคยพุ่งขึ้นสูงสมัยเป็น “พส.ไพรวัลย์” นั้น ได้ลดน้อยถดถอยลงไปพอสมควร

ทว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้มิใช่ “การดับสูญ”

“ผมว่าคนที่ดับแล้วจริงๆ คือคนตาย อันนั้นคือดับ ดับสังขารก็คือตาย แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่มีทางดับหรอกครับ เขาอาจจะไม่มีพื้นที่ในโซเชียล คนตามเขาน้อยลง แต่ชีวิตเขา เขายังมีชีวิตอยู่ เขายังสามารถที่จะเลี้ยงตัวเอง ทำมาหากินได้ ผมว่าทุกคนน่ะเขามีทางไปของเขา

“โซเชียลมันมีทั้งมุมดีและมุมไม่ดี ในมุมที่ไม่ดีอันหนึ่งที่ผมเห็นคือพอเราไม่ชอบใครสักคน เราก็พยายามจะถล่มเขา จนแทบจะไม่ให้โอกาสเขาหรือที่ทางในการยืนกับเขาเลย ผมว่าอันนี้คือความใจร้ายคือความใจดำ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ชื่นชอบใครได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์พิพากษาใคร”

เมื่อถามว่าคนเคยบวชเรียนเช่นเขาใช้หลักธรรมอะไรในการรับมือกับ “ดราม่าออนไลน์” ที่ถั่งโถมเข้ามา ไพรวัลย์ให้คำตอบอย่างจริงจังว่า

“ชีวิตเราทั้งหมดมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบ-ไม่ชอบของคน ผมรู้สึกว่ามันต้องรักษาความเป็นตัวเองให้มันชัด และตอบตัวเองให้ได้ในทุกอย่างที่ตัวเองทำ ให้มันมีเหตุผลมากพอ

“ส่วนคนชอบ คนชม คนด่า คนว่า ผมว่าอันนี้เป็นโลกธรรม อันนี้ต้องเข้าใจให้ชัด ถ้าอยู่บนโลก ไม่เข้าใจโลกธรรมนี่มีความทุกข์มาก เพราะตอนคนด่าเรา เราจะเสียใจมาก แล้วตอนชม เราก็ฟูเหลือเกิน แต่พอคนด่า บางคนนี่มูฟไม่ได้เลย เสียใจ หมดกำลังใจที่จะไปทำอะไรต่อ ผมว่าใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ได้”

ชมคลิป