พ่อแพ้ / เรื่องสั้น : กมล กุดโอภาส

เรื่องสั้น

กมล กุดโอภาส

 

พ่อแพ้

 

ผมจำได้ชัดเจน วันนั้นคือตอนสายของวันเสาร์ ปลายเดือนเมษายนของปีที่แล้ว สุดคำพูดได้สักห้าวินาที พ่อก็ตะวาดลั่น พร้อมกับใช้มือกวาดแก้วและเซรามิกบนหลังตู้เย็นเสียงเพล้ง แตกบิบิ่นกระจายไปทั่วพื้น เท้าเปลือยเปล่าของน้องสาวถูกเศษสะเก็ดแก้วใสปักเลือดไหลซิบแต่เล็กน้อย น้ำตาเธอไหลพราก นั่งสะอื้นบนโต๊ะไม้โดยมีพ่อยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนผู้คุมขัง ผมยืนมองพ่อกับน้องสาวด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นเหตุการณ์ปกติ ผมอยากบอกน้องสาวว่าพี่ก็เคยถูกพ่อตะวาดเข้าใส่อยู่เหมือนกัน หลายครั้งด้วยซ้ำและหลายเรื่องราว ราวกับว่าพ่อคือคุณครูที่มีไม้เรียวอยู่ในมือและลูกๆ คือลูกศิษย์จอมซนอย่างนั้น แล้วเหตุการณ์วันนั้นพ่อยังจำได้ไหม วันนี้น้องสาวบอกกับผมว่า “พ่อเกษียณแล้ว แกกำลังชรา อย่าถือสาแกเลย เรื่องที่ผ่านมาให้มันผ่านไปซะ ถึงยังไงแกก็รักลูกนั่นแหละ” ซึ่งผมก็เห็นด้วย เมื่อวานผมพาพ่อไปโรงพยาบาลตรวจสุขภาพ เห็นแกบ่นอิดออดมาหลายเดือนแล้ว ตับ ไต ไส้ พุง ของพ่อยังดีอยู่แต่สมองของแกหมอบอกว่าเริ่มเสื่อม ผมคุยกับน้องสาวแล้วอโหสิกรรมให้พ่อเถอะ พ่อก็รักลูก ลูกก็รักพ่อ มันเป็นเรื่องธรรมดา (ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด) ส่วนแม่ไม่ต้องพูดถึง แม่เห็นลูกเป็นเลือดเนื้อและชีวิต พ่อกับแม่เห็นลูกเป็นแก้วตาดวงใจ หัวอกของพ่อกับแม่จะล่มสลายเมื่อลูกหลงผิดมันเป็นเรื่องธรรมดา (ของสิ่งมีชีวิตเลี้ยงลูกด้วยนม)

ผมรู้และน้องสาวก็รู้และเข้าใจมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เรารู้จักคิดโน่นกระมัง ลุง ป้า น้า อา บอกว่าพ่อนั้นเกินไป บัดนี้ สิ่งนั้นมันไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับผมแล้ว น้องสาวป้ายรอยยิ้มให้ผมผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข ผมอยากเรียกว่าวันนี้คือวันชนะ ชัยชนะอันเป็นเรื่องปกติของปุถุชนอย่างพ่อด้วยคนหนึ่ง แม่ไม่ต้องพูดถึง แม่หัวเราะพ่อคือผู้แพ้อย่างไม่เป็นท่า นั่นสิมันเป็นเรื่องไม่แปลกอะไรของด้านมืดของมนุษย์ พ่อสยบอย่างราบคาบ น้องสาวอโหสิกรรมด้วยความมีกตัญญูกตเวฑิตา เธอรักพ่อเช่นเดียวกับที่ผมรักพ่อไม่ต่างอะไรจากพ่อที่รักและโอบอุ้มลูกมาตลอด แม่เคยบอกผมกับปลอบน้องสาวอย่างน่าสงสาร หากเป็นอย่างที่แม่ว่าพ่อประสาท พ่อคงเป็นโรคประสาทสองขั้วอย่างแน่นอน อารมณ์คุ้มดีคุ้มร้ายและแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลงกะทันหัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์สามัญโดยทั่วไป

ผมคุยกับน้องสาวในเรื่องนี้ เธอขำคิกคัก “ตลกพ่อจริงๆ” เธอพูด

 

ผมจำได้ชัดเจน ย้อนกลับไป 25 ปี สมบัติชิ้นแรกของผมคือกะปุกออมสินเซรามิกสีน้ำตาลรูปหมาน้อยกำลังนั่งลิ้นห้อยอยู่ พ่อซื้อให้ผมในวันที่พ่อไปเดินเที่ยวงานกาชาดประจำปีในตัวจังหวัด ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ป.1 มันสวยและน่ารัก ผมประทับใจความรักของพ่อที่มอบให้ผมเป็นครั้งแรกในชีวิตของความทรงจำของชีวิตเด็กชายคนหนึ่งในชีวิตของความเป็นคน (สิ่งมีชีวิต) เช่นกัน น้องสาวยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก ตอนนั้นเธอยังแบเบาะอยู่เลย เอาเป็นว่าตุ๊กตาหมาตัวนั้นและมันวางอยู่บนหัวเตียงนอนผมในวันนี้ มันเป็นวัตถุสมบัติชิ้นแรกของพ่อที่ส่งทอดมายังรุ่นลูกอันเป็นที่รักของพ่ออย่างผม ยังมีสมบัติอีกหลายชิ้นต่อมาอีกหลายปีจนกระทั่งผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วได้งานทำ ใช่แล้ว สมบัติชิ้นแรกจริงๆ ของผมก็อยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ของ 10 ปีที่ผ่านมา น้ำตาของพ่อไหลพรากด้วยความปลื้มปีติและแม่ก็สะอึกสะอื้นเป็นการใหญ่ในวันที่ผมได้รับเงินเดือนเดือนแรกของชีวิต ผมพาพ่อกับแม่และน้องสาวไปกินเลี้ยงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่ด้วยกันหลายที่ของตัวจังหวัด

ผมจำได้ชัดเจนวันนั้นเป็นวันแรกที่พ่อบอกว่า มึงคบผู้หญิงได้แล้วล่ะ เอาที่มันดีมีคุณภาพให้มั่นคง รุ่งเรือง พ่อยืนยันด้วยวาจาที่แข็งกร้าวอีกตามเคย

ตอนนั้นน้องสาวกำลังแอบคบกับเพื่อนชายแล้ว พ่อไม่รู้ หากพ่อรู้ผมกับน้องสาวจะปฏิบัติตัวอย่างไรในฐานะที่โตเป็นหนุ่มสาวของพ่อแล้ว พ่อรู้ว่าเราโตกันเสียที แต่เราโตอยู่ในการตีกรอบของพ่อแต่ไหนแต่ไรมา พ่อหวงแหนสมบัติที่มีชีวิตอย่างผมกับน้องสาวจนทุกวันนี้พ่อหัวหงอก แต่พ่อยังไม่เกษียณ บ้าน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยานที่พ่อแสวงหามาให้ครอบครัว เงินทองในบัญชีธนาคารของพ่อ สร้อยคอทองคำของพ่อเองหรือกำไลทองคำของแม่เอง หรือแม้แต่ชีวิตในวัยเรียนของลูก พ่อซื้อโต๊ะชุดอ่านหนังสือ ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ผมกับน้องสาว พ่อเก่งเป็นนักล่าสมบัติเหมือนผู้คนเพื่อนบ้าน มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเสียเหลือเกินกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน แม่บอกว่าพ่อชอบซื้อสะสมอะไรหลายต่อหลายอย่างตั้งแต่แต่งงานอยู่ด้วยกันมาจนชราภาพแล้ว อย่างที่ผมบอก เมื่อวานหมอบอกร่างกายของพ่อยังแข็งแรงดีอยู่ อาการสมองเสื่อมนั้นคงเป็นเพราะสมองของแกเก็บอะไรต่อมิอะไรไว้มากเกินขีดจำกัด แม้แต่ร้านสะสมของเก่ายังได้จำหน่ายออก ประสาอะไรเล่ากับสมองลังบรรจุสิ่งของของมนุษย์ (สิ่งมีชีวิตที่เรียกคน) ซึ่งผมอยากบอกว่าพ่อเป็นหมาล่าเนื้อที่แผลเหวอะหวะของร่างกายนั้นยากเกินจะเยียวยาและสายเกินไป เหมือนความเป็นอยู่ของผู้คนเพื่อนบ้านที่ไม่อาจต้านทานกระแสของวัตถุ เชื่อว่าน้องสาวมองไม่เห็นความเป็นสัตว์ล่าเนื้อของพ่อมาแต่แรก

แต่บัดนี้เธอคงรับรู้โดยชัดเจนเพราะนั่นคือสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ของพ่ออีกคนหนึ่ง

 

เป็นเช้าวันใหม่ที่อากาศสุข สดชื่น ผมตื่นขึ้นมาหายใจได้เต็มปอด ไม่ทันได้แปรงฟัน ผมก็โผเผจากที่นอนมานั่งอยู่ระเบียงมุขหน้าบ้าน พ่อคงตื่นตั้งแต่ตีห้าอีกตามเคย พ่อคงง่วนอยู่กับผลไม้ที่มีอยู่ด้วยกันหลายต้นของสวนหลังบ้าน ส่วนแม่ส่งเสียงก๊อกแก๊กกระทบไม้ถูบ้านอยู่ด้านใน ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือในมือแล้วถอนใจเฮือก “ค่า pm สูงจนน่าเป็นห่วง” ผมบ่นอยู่ในใจพร้อมกับหันหน้าเข้าในตัวบ้านอยากบอกพ่อกับแม่ในเรื่องนี้

วันนี้คือเช้าวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน เป็นวันแรกแห่งเทศกาลอีกวาระหนึ่งของการถวิลหามาตุภูมิและการบันเทิงเริงรื่น สนุกสนาน การเยี่ยมเรือนชาน พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อีกขวบหนึ่งของกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไปจากที่นี่และกลับมาจากที่โน่นของเหล่าสัตว์ล่าเนื้อทั้งหลาย ผู้ไม่ยี่หระกับความทุกข์ยากกลับมากไปด้วยการแสวงหา ผมไม่ได้ไปล่าที่นั่น ผมนึกอยู่แล้วเชียวว่าวันนี้น้องสาวของผมจะคาบเนื้อชิ้นโตกลับบ้านอย่างผู้มีชัย มันเป็นการเซอร์ไพรส์พ่ออย่างชัดเจนของน้องสาวและพ่อสยบ ผมเดินไปที่หลังบ้านห้องครัว พ่อกำลังปลิดลูกขนุนสุกกลิ่นโชยหอมหวานเข้ามาในตัวบ้าน ดูเวลาในโทรศัพท์ผ่านหกโมงเช้ามาได้ 14 นาที อีกหลายชั่วโมงกว่าน้องสาวจะเดินทางมาถึง รอยยิ้มที่มุมปากของผมขณะเดินเข้าห้องน้ำไม่มีใครอาจล่วงรู้ ผมรอวันนี้ ผมกับน้องสาวลงเอยกันว่าเพราะมันคือสัจจะธรรม สามัญธรรมดาของผู้คน เธอยอมรับโดยวิสามัญเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา เสียงหัวเราะในห้องน้ำของผมพ่อกับแม่คงไม่ได้ยิน แต่กลิ่นขนุนสุกเอื่อยไหลเข้ามาในห้องน้ำและยังโอบคลุมบ้านอย่างหอมหวน เคล้ากับกลิ่นน้ำยาขนมจีนที่แม่ทำกำลังโชยไอ กลิ่นพริกฉุนจมูก ได้ยินเสียงพ่อเอะอะไล่นกมากินผลไม้สุก อาบน้ำเสร็จผมจะพาแม่ไปตลาดซื้อเส้นขนมจีนบีบใหม่สดๆ แม่เป็นคนทำน้ำยาได้อร่อยเสมอและเราจะได้กินขนมจีนน้ำยาอย่างอิ่มหนำสำราญต่อไปอีกหลายวัน

วันนี้คือวันที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวันครอบครัวแห่งชาติ พ่อบ่นถึงขนุนสุกที่สวนหลังบ้านมาหลายวันจะทันให้น้องสาวได้กินหรือไม่ ผมจำได้ชัดเจน น้องสาวเป็นคนชอบกินขนุนสุกกับขนมจีนมาตั้งแต่เด็ก ผมเดินออกจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจในตัวพ่อกับแม่สำหรับเช้าวันนี้ ผมรู้สึกสบายใจที่วันครอบครัวแห่งชาติปีนี้จะเป็นวันแห่งครอบครัวของผมกับน้องสาวจริงๆ อย่างที่เราคาดหวัง

ผมออกจากห้องน้ำด้วยความร้อนผ่าว แม่เปลี่ยนเสื้อลายดอกโดยไม่ได้อาบน้ำเดินหิ้วตะกร้าจ่ายตลาดไปหาพ่อที่หลังบ้าน รู้สึกหิวแต่ไม่กินอะไรรองท้อง ขนุนสุกของพ่อคงอร่อยนะผมคิด ใช้แป้งเด็กโรยตัวหอมฟุ้ง สวมเสื้อลายแดงขาว กางเกงยีนส์ทรงกระบอกยี่ห้อลีวายส์ที่ผมตกหลุมรัก เดินออกบ้านไปสตาร์ตรถปิกอัพคันเดียวกับที่พ่อใช้ขนผลไม้ไปขายที่ตลาดเช้าเมื่อถึงฤดูกาลผลไม้โตเต็มที่ พ่อเป็นครูแต่เอาทุกอย่างที่ได้เงินซึ่งไม่แปลกอะไร ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน ทุกคนต้องใช้เงิน พ่อบอกอาชีพครูไม่ร่ำรวยแต่พ่อก็อยากมี พ่อปรารถนาทรัพย์สินเงินทองอย่างยิ่งยวด ไม่บอกก็รู้ ผมนี่ได้นิสัยพ่อมาอีกอย่าง ไม่งั้นกระปุกออมสินรูปหมาสีน้ำตาลที่พ่อซื้อให้คงไม่อยู่บนหัวเตียงนอนอันเป็นสถานที่โปรดของผมตราบกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าเป็นคนก็วัยเบญจเพสแล้ว คงเป็นเพราะนิสัยของพ่อมาเข้าสิงผมอีกอย่างคือนิสัยหวงแหน แต่ผมก็กำชับตามประสาลูกพ่ออีกคนหนึ่งนั่นแหละว่าผมจะเป็นลูกที่ดีและกตัญญูกตเวทีต้องมีอย่างเต็มเปี่ยม ผมคุยกับน้องสาวเสมอว่าเราจะไม่ลืมสิ่งที่พ่อกับแม่กระทำกับเราไว้ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต แน่นอนทีเดียว น้องสาวเห็นด้วยกับผมว่าเราอย่ามองในแง่ลบ พระคุณของพ่อกับแม่ต้องอยู่ในการคิดบวกของลูกเสมอ

ผมจำได้ชัดเจน (จริงหรือที่น้องสาวบอกกับผมว่าความทรงจำของพี่ดีกว่าคนอื่นทั้งหลายรวมทั้งพ่อด้วยอีกคน) คือมื้อค่ำวันอาทิตย์ที่ร้อนอบอ้าว แห้งแล้งในชีวิตของผม แต่สาบานได้จะไม่มีครั้งต่อไปในชีวิตพ่อกับผม พ่อโวยวาย มีปฏิกิริยาที่โมโหอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่เรื่องชู้สาวหรือความเสียหายแต่อย่างใดเลย ความรักเป็นเรื่องสวยงามไม่ใช่หรือ ผมไม่ได้รักเพราะเธอรวย ขณะเรากำลังกินข้าวเย็นด้วยกัน พ่อก็ขว้างขนุนสุกชิ้นโตใส่หัวซึ่งผมกำลังใช้ช้อนตักขนมจีนน้ำยาเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย ผมคิดถึงน้องสาวที่หอพักในมหาวิทยาลัย ผมเสียดายขนุนสุกชิ้นนั้นมากกว่า มันกำลังหอมหวานได้ที่ทีเดียว แต่ผมชอบขนมจีนน้ำยามากกว่า พริกของแม่อาจจะเผ็ด แต่กุหลาบที่พ่อไปเจอในห้องนอนของผมทำให้พ่อดุเดือดมากกว่า

ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก อาจจะเป็นสัญชาตญาณ (ของสิ่งมีชีวิตที่เรียก “พ่อ” ) เหตุเพราะเธอเป็นหญิงสาวหมู่บ้านเดียวกัน และยากจน

“ใส่เสื้อสวยนะแม่” ผมทักทั้งยิ้มทันทีที่แม่ปิดประตูรถ เสียงแอร์ฉู่ฉ่าตามสภาพ พ่อรักรถคันนี้มากยังดีที่ยอมให้ผมจับพวงมาลัย อย่างไรเสีย พ่อเป็นครู แต่ไม่ใช่ครูไหวใจร้าย

ถนนหน้าบ้านยามเช้าที่ค่อนข้างสายโล่ง หน้าบ้านตรงหัวมุมไม่ไกลมีโอ่งและถังตั้งแต่น้ำยังไม่แฉะพื้น อากาศมัวหมอง ทึมเทา เหมือนฝนจะตกแต่คาดว่ามันคงไม่ตก ผมขับรถเชื่องช้าด้วยความระมัดระวัง เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนใหญ่ผ่ากลางหมู่บ้าน หลายหลังคือบ้านของลุง ป้า น้า อา

บ้านของเธออยู่ซอยสุดท้ายถัดจากหัวมุมไปสองหลัง ถัดจากซอยสุดท้ายของหมู่บ้านเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง ก่อนจะถึงตลาดในตัวเมืองสักห้าถึงหกกิโลเมตร

ตอนยังเป็นเด็ก ผมกับเธอเคยวิ่งเล่นว่าวด้วยกันหลังฤดูเก็บเกี่ยว เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาตั้งแต่นั้น ว่าวของผมตกพื้นทีไรเธอจะวิ่งไปเก็บให้ หูของเธอเหน็บไว้ด้วยดอกมะลิที่เธอเด็ดมาจากหน้าบ้าน เธอรดน้ำให้มันทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน เธอชอบดอกมะลิมากกว่าดอกไม้ชนิดอื่น เธอไม่ชอบสัตว์เลี้ยง แปลงดอกมะลิยังอยู่ที่หน้าบ้านจนกระทั่งโตเป็นสาว ผมเคยบอกแม่ว่าเธอมีเสน่ห์ตรงที่เป็นเด็กหญิงชอบดอกมะลิ มันทำให้ผมกับเธอพูดคุยเกี่ยวกับพ่อดอกมะลิในหนังเรื่อง “คู่กรรม” ได้อย่างเนียนใจ

ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คราวใดผมจึงไม่มอบดอกกุหลาบที่พ่อปลูกไว้ท้ายบ้านกับเธอ ผมให้ดอกมะลินี่แหละแล้วเธอก็ส่งแววตาหวานซึ้งกับผม ผิดหวังอย่างเดียว ดอกมะลิผมไม่ได้ปลูกเอง ผมซื้อมาจากตลาด แต่ความรักผมเชื่อว่ามันซื้อขายกันไม่ได้ เธอพออกพอใจในตัวผมเป็นนักหนา เราเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล หลังจากไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยผมกับเธอไม่ได้เห็นหน้ากันบ่อยนัก ทุกครั้งที่กลับมาบ้านผมจะแอบไปหาเธอ สิ่งเดียวที่ผมไม่เคยลืมมาตลอดตั้งแต่รู้จักมีความรักคือดอกมะลิในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี

ผมไม่ชอบเข็มกลัดดอกมะลิพลาสติก เพียงกลับบ้านมากราบตักแม่ก็แค่นั้น ผมรักแม่ แต่ความรักที่มีต่อแม่ไม่ใช่ความรักระหว่างหนุ่มสาว วันพ่อแห่งชาติก็เหมือนกัน ผมไม่เคยเกลียดพ่อ ผมจะกลับมากราบตักพ่อทุกปีซึ่งสร้างความพึงพอใจให้พ่อเหลือล้น มีพ่อแม่คนไหนบ้างละแม้เพียงไม่เคยเลี้ยงดูจะเกลียดชังลูกผู้เป็นสายเลือดของตัวเอง ผมระลึกอยู่เสมอ น้องสาวของผมยืนยันว่าเธอรักพ่อกับแม่มากที่สุดในโลก ได้แค่ยิ้มผมไม่อาจหัวเราะ เป็นเรื่องจริงจังเมื่อเราพูดถึงพระคุณพ่อแม่ ผมอยากบอกอีกอย่างว่าเธอเป็นเด็กหญิงกตัญญูรู้กันทั้งหมู่บ้าน

อากาศทึมเทาเริ่มโปร่งขาว แดดเริ่มเจิดจ้าข้างนอกรถ เราคุยกันตลอดระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน แม่ถามถึงเธอแม้เพียงน้อยนิด แม่เคยบอกกับผมหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้รังเกียจเธอเหมือนที่แม่ไม่เคยเกลียดความรักของน้องสาว แต่แม่ยังคงถามเหตุผลถึงดอกมะลิในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ผมแอบยิ้มกับแม่ แม่มีนิสัยคิดเล็กคิดน้อยเหมือนเด็กๆ แต่ผมไม่เคยให้เหตุผลกับแม่เลยสักครั้งเดียว เพียงยิ้มเท่านั้น

สำหรับพ่อ ด้วยเรื่องราวใดผมมักจะโต้เถียงอยู่ร่ำไป เถียงกันครั้งใดต่างคนต่างสงบแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นอยู่ในบ้านเดียวกันไม่เคยห่าง

สำหรับน้องสาวผมคิดว่าเธอโอนอ่อน แต่ทุกวันนี้เธอเข้มแข็งและกล้าพอ น้องสาวพูดกับผมเมื่อคืนทางโทรศัพท์ เธอบอกวันนี้เธอจะเป็นผู้ชนะ เพียงแต่เป็นผู้ชนะที่อ่อนแอเท่านั้น ซึ่งผมหัวเราะ

 

ผมยกเข่งขนมจีนตั้งท้ายรถ เอาผ้ายางกันน้ำปกแล้วทับไว้ กว่าจะถึงบ้าน ตัวรถเลอะด้วยน้ำแป้งพอกจนขาว แม่ถามทำให้ผมคิดถึงเธอ

“อีนางกลับบ้านไหม”

“ไม่รู้ครับแม่” ผมตอบตามความจริงออกจากใจ แม่ถามอีกทำให้ผมประหลาดใจจริงๆ

“ที่ทำงานไม่มีสาวเลยหรือ”

เด็กๆ ริมทางจะร่าเริงและเปียกชื้นต่อไปอีกสองวัน ไม่ตอบแม่ ผมรู้สึกอึ้ง คำถามของแม่ทำให้ผมโหยหาความรัก ทำให้ผมคิดถึงเธออีกครั้ง ผมไม่เห็นหน้าเธอสองเดือนแล้ว แต่ผมไม่กล้าแอบมีเบอร์เธอมานาน

ผมอยากสบตากับคนที่ผมรักมากกว่า

“ไม่เห็นแม่ซื้อน้ำอบ” ผมถามแม่

“พ่อซื้อมาจากห้างเป็นแพ็ก” แม่ตอบ

ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ผมสังเกตมานานแล้ว ผู้หญิงมักจะมีมากกว่าผู้ชาย ผมฉงนใจทำไมแม่ถึงถามคำถามที่หาคำตอบได้ยากเหลือเกิน

“อ้อ ซื้อเป็นแพ็กคุ้มกว่า ” ผมพูดกับแม่

ขับรถกลับมาถึงหัวมุมซอยบ้านของเธอ ผมถึงถามแม่ “แม่ทำน้ำยาอะไรล่ะ”

“ทั้งกะทิทั้งลาว สะดวกลิ้น” แม่ตอบทั้งยิ้มภูมิใจ

 

ผมจำได้ชัดเจน ในวันที่ครอบครัวเราสี่คน พ่อ แม่ ลูก รับประทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มันเป็นเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นต่อผมในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น ผมไม่เข้าใจเหตุผล เพียงดอกมะลิช่อเดียวเท่านั้นเองหรือที่ทำให้พ่อโมโห อารมณ์ของพ่อเดือดพล่านด้วยสัมมาทิฐิ แม่นิ่งเฉย แม่รู้จักพ่อตั้งแต่ผมกับน้องสาวยังไม่เกิด แต่แม่ก็รักพ่อ ผมคิดว่าแม่รักพ่อมาตลอดเท่าที่จำความได้ ความรักที่ก่อเกิดจากหนุ่มสาว ซึ่งตกหลุมรัก แล้วกลายเป็นความผูกพันและสายเลือด ผมผิดหรือ ที่ไม่เลือกเอากุหลาบหนามแหลมคมจากท้ายบ้านของพ่อ แม่นิ่งเฉย แต่แม่ก็รักพ่อ ผมคิดว่าแม่รักพ่อมาตลอดเท่าที่จำความได้ ผมเคยตั้งคำถามต่อตัวเอง พ่อกับแม่มีความรักให้กันด้วยเหตุผลกลใด ผมอยากรู้จักอารมณ์รักที่แท้จริงของพ่อจะเหมือนความรักของผมไหม นั่นผ่านมาเนิ่นนาน พ่อคงลืมเลือนแล้ว อย่างที่ผมบอก พ่อเป็นอัลไซเมอร์ เพียงแต่กล้ามเนื้อยังแข็งแรง พ่อตวาดและขว้างถ้วยชามบนโต๊ะกินข้าวลงพื้นกระเบื้องลายดอกไม้จนแตกบิบิ่น ท่าทางของแม่เหนื่อยหน่าย แม่ต้องทำความสะอาดถูพื้นอีกแล้ว ผมจำได้ชัดเจน แม่เคยเล่าให้ฟัง พ่อเลือกกระเบื้องลายดอกไม้มาสร้างบ้านเพราะแม่ชอบมัน ผมดูเวลาในโทรศัพท์ เก้าโมงเช้าสิบสี่นาที น้องสาวยืนยันกับผม อาหารเย็นวันนี้จะเป็นอาหารเย็นของครอบครัวเราที่มีความสุขเป็นที่สุด ความแปลกปลอมคือความลงตัวอันรื่นรมย์ ในใจผมกรุ้มกริ่ม รู้สึกประหลาดที่แม่กระซิบ

“อีนางคงกลับบ้านอยู่หรอก เอาไปฝากอีนางหน่อยนะ น้ำยาแม่อร่อยไม่ใช่รึ”

คำพูดของแม่ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของเธอในวันนั้น คืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เรื่องราวของผมกับเธอน้องสาวรับรู้มาตลอด เธอรู้ดีกว่าพ่อกับแม่เสียอีก ทั้งสองรู้จักมักคุ้นกันดี เจอหน้ากันบ่อยครั้งที่นอกหมู่บ้านหรือสถานที่ไกลกว่านี้ รอยยิ้มที่มุมปากของผมเชื่อว่าแม่มองไม่เห็น เพราะมันอยู่ข้างขวา ผมรู้สึกขำกับคำพูดติดตลกของเธอ ก็เป็นเสียอย่างนี้ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชิดเธอผมมีความสุขเสมอ

“น้ำยาของคุณแม่กลมกล่อมดีนะ แต่ทำไมละ ขนุนสุกของคุณพ่อถึงมีรสเค็มปะแล่มๆ” นั่นคือคำพูดของเธอในวันนั้น

 

ผมกับแม่มาถึงบ้านก็เห็นพ่ออาบน้ำแต่งตัวด้วยความสะอาดสะอ้าน เดินเข้าใกล้ได้กลิ่นแป้งโรยตัวผสมน้ำอบหอมฉม แต่พ่อยังคงไม่อยู่นิ่ง พ่อเป็นคนพูดน้อยมาตั้งแต่ผมจำความได้ อย่างไรก็ตาม คำพูดของพ่อแต่ละครั้ง ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นคำพูดที่หลุดจากปากหรืออย่างไร หลายครั้งทำให้ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินถึงกับสะอึก

ผมพยายามปลอบประโลมเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็อย่างว่า ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชิดเธอ ผมมีความสุขเสมอ ผมอยากให้เธอมาเป็นคนในครอบครัวของผมไปจนถึงวันตาย

ผมไม่เข้าใจ ซึ่งน้องสาวของผมให้คำตอบได้อย่างชัดเจน ว่าทำไมพอถึงวันครอบครัวแห่งชาติของทุกปี คือวันนี้ วันที่ 14 เมษายน ถ้าไม่เจอหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งปีนี้เราคงไม่เจอหน้ากัน เธอถึงติดต่อกับผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วบอกกับผมด้วยสำนวนที่ดีเกินไป อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกดีๆ ก่อเกิดขึ้นในจิตใจของผม มันถูกถ่ายทอดถึงแม่กับพ่อ แม่ยิ้มปลื้ม ส่วนพ่อมีสีหน้าถมึงทึง ไม่พูดจาแต่ส่ออวัจนภาษาที่ผมคิดว่ามันบั่นทอนจิตใจใครต่อใครที่รับรู้เรื่องนี้

เหมือนดอกมะลิของผมในวัน 14 กุมภาพันธ์ ที่ถูกแสงแดดในวันที่ 14 เมษายน แผดเผา

 

สายแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาเที่ยง พ่อใส่เสื้อลายสีดอกทอง เหมือนสีทองคำ มันวาว ระหว่างที่เราสามคนรอการกลับมาของน้องสาว ทุกสิ่งอย่างในวันนี้พ่อบอกกับผมด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่าสำหรับวันครอบครัว ผมเช็กค่า pm ในโทรศัพท์ สูงมาก พ่อกับแม่ทำอะไรหลายอย่าง ส่วนผมคุยกับน้องสาวอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน ฟ้าโปร่ง แดดจ้า เป็นปกติของเดือนเมษายน ผมคิดถึงเธอ พักจากโทรศัพท์กับน้องสาว ผมติดต่อกับเธอแต่ก็ไร้ผล

หนึ่งชั่วโมงกับอีก 55 นาที ผมลุกขึ้น เดินเข้าบ้านไปกินขนุนสุกบนโต๊ะกินข้าวด้วยรู้สึกหิว เห็นแม่กำลังเตรียมการเอาไว้สรงน้ำพระ ได้ยินเสียงพ่อฉีดน้ำรดแปลงกุหลาบอยู่ท้ายบ้าน เสียงนกกามาจิกกินผลไม้สุกของพ่อมิว่างเว้น เสียงพ่อไล่ตะเพิดไม่หยุดหย่อน ผมก้มดูโทรศัพท์ รถของน้องสาวมาถึงหัวมุมบ้านของเธอแล้ว ผมรู้สึกดีใจแต่ไม่ตื่นเต้น คิดถึงเธออีก เราเคยเล่นสาดน้ำด้วยกันตรงหัวมุมเข้าบ้านของเธอ

ผมยังจำได้ชัดเจน มันเป็นการกลับมาที่แตกต่างจากเดือนเมษายนของปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง น้องสาวของผมไม่ลดละความพยายามจริงๆ เหมือนความรักที่ผมมีให้เธอไม่ถดถอย ผมไม่แปลกใจอะไรเลยกับกิริยาอาการของพ่อ ทันทีที่เห็นรถเก๋งป้ายแดงคันโก้หรู ราคาเรือนล้าน เลี้ยวเข้าประตูบ้านที่พ่อเปิดประตูค้างไว้

แต่ผมไม่มั่นใจนักว่า พ่อจะจำเพื่อนชายของน้องสาวได้ไหม เสียงแก้วและเซรามิกที่แตกบิบิ่นดังแว่วเข้ามาในหูผม สีหน้าของน้องสาวกับเพื่อนชายนิ่งเฉย ส่วนพ่อเหมือนดอกไม้บาน แม่นั้นเป็นปกติ

ผมคิดถึงเธอ ผมอยากให้เธอมาร่วมพิธีรดน้ำดำหัวกับครอบครัวของเรา ผมจะดีใจเป็นที่สุด •