คำถาม / ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ : หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ

หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC

 

คำถาม

 

งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งนี้ ผมไปลงอาคม 2 วันครับ

งานปีนี้จัดที่สถานีกลางบางซื่อ

พอเป็นสถานที่ใหม่ คนเดินก็จะไม่ชิน ไม่รู้ว่าบูธไหนอยู่ตรงไหน

ไม่เหมือนกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่หนอนหนังสือคุ้นเคย

แพลนนารีฮอลล์ โซนซี หรือโซนพลาซ่าที่สำนักพิมพ์มติชนปักหลักมาตลอด

หรือไปอิมแพ็ค ก็เป็นห้องขนาดใหญ่ เดินง่าย

แต่พอเป็นสถานีกลางบางซื่อ ที่ไม่ได้วางแผนว่าจะใช้จัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่

ซอกมุมจึงเยอะมาก

ในด้านหนึ่ง ทำให้เดินยาก จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งไกลมาก และไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน

ใครจะเดินงานหนังสือแบบมีเป้าหมายมากเกินไป

อาจจะไม่สนุก

แต่อีกด้านหนึ่ง สำหรับคนที่มีเวลาพอมควร การเดินซื้อหนังสือที่นี่สนุกมาก

เหมือนเราท่องเที่ยว กึ่งผจญภัย

ได้พบเจอบูธต่างๆ ที่อาจไม่ใช่เป้าหมายของเราระหว่างทาง

บูธนี้ก็น่าสนใจ

เหมือนเดินถนนคนเดิน ที่มีของแปลกๆ ให้เจอตลอดเวลา

ปีนี้นอกจากผมเซ็นหนังสือที่บูธสำนักพิมพ์มติชนและบีทูเอสแล้ว

ยังมีโปรแกรมเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ “สิ่งที่เคยมอง แต่ไม่เคยเห็น” ด้วย

ตามปกติการได้เจอและได้คุยกับคนอ่านเป็นสิ่งที่ผมมีความสุข

เพราะเป็นการเติมพลังทางใจที่ดีมาก

แต่ไม่รู้ว่าเพราะร้างราจากงานหนังสือแบบนี้ไปนานหรือเปล่า

ไปเซ็นชื่อครั้งนี้ผมจึงรู้สึกตื่นเต้น

ทั้งที่เคยเป็นงานประจำที่คุ้นชิน

ตลอด 2 วันที่ไปขึ้นเวทีและไปเซ็นชื่อ

มีหลายเรื่องที่ประทับใจ

เรื่องแรก คือ การได้เจอกับคนอ่านที่คุ้นเคย

เจอกันทุกงานหนังสือ

เราจะทักทายเหมือนเพื่อนเก่าที่ได้เจอกันอีกครั้ง

ทักทายกันได้แป๊บเดียว เพราะมีคนรอต่อคิวอยู่

แต่รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เจอกันอีก

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องคำถามที่ถูกถามมากที่สุดในงานนี้

รู้ไหมครับว่าเรื่องอะไร

“เมื่อไรพี่จะกลับมาจัด The Power Games อีก”

ผมเพิ่งหยุดพักพอดแคสต์รายการนี้ไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์

เป็นรายการที่มีพักซีซั่น เหมือนบอลพรีเมียร์ลีก

งานนี้ ผมเจอคนถามเรื่องนี้เกือบ 20 คน

จนต้องบอกน้องว่าเหมือนพี่ทำความผิดเลย

สัญญาว่าอีกไม่นานคงกลับมา

เรื่องที่สาม ตอนที่ลงจากเวทีเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่

มีคนซื้อหนังสือที่โต๊ะข้างๆ และมาขอลายเซ็นประมาณ 3-4 คน

แต่มีคนหนึ่งตั้งใจเดินเข้ามา

เอ่ยปากชมอย่างจริงใจ

“รองเท้าสวยมาก”

ผมยิ้มแบบงงๆ

“ซื้อมาใหม่หรือเปล่า บนเวทีสีขาวเด่นเลย”

แล้วก็เดินจากไป

ไม่มีการเอ่ยถึงหนังสือ หรือเนื้อหาการเสวนาสักประโยคเดียว

ครับ เป็นคำชมที่ประทับใจที่สุดในงานนี้

“รองเท้าสวย”

เรื่องที่สี่ ตอนผมนั่งเซ็นชื่อที่บูธสำนักพิมพ์บีทูเอส

พอเปลี่ยนจุดนั่ง

จาก “มติชน” มา “บีทูเอส”

กลุ่มคนก็เปลี่ยนไป

จะไม่ใช่ “แฟนประจำ” แต่เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่

มีน้องคนหนึ่งมาให้เซ็นชื่อ

ถามว่าเคยอ่านไหม

น้องส่ายหน้า

“แล้วทำไมซื้อเล่มนี้” ผมถาม

“หนูอ่านคำโปรยปกหลังแล้วชอบ”

ใช้ได้ คำโปรยปกทำงานได้ผล

ผมเซ็นชื่อที่บีทูเอสประมาณครึ่งชั่วโมง

พอหมดเวลา น้องๆ ก็ช่วยกันนับถอยหลังให้

5-4…

กำลังจะขยับตัวลุกขึ้น

เด็กผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะประมาณ 10 ขวบ ถือแผนที่งานเดินตรงเข้ามา

ผมยิ้ม ไม่นึกว่าจะมีแฟนหนังสืออายุน้อยขนาดนี้

3-2…

เขาสบตาผม

…1

“พี่ครับ บันไดเลื่อนไปทางไหนครับ”

เรื่องที่ห้า น้องผู้ชายคนหนึ่งถือหนังสือมาขอลายเซ็น

น่าจะประมาณเด็กมัธยม

ผมถามชื่อน้อง แล้วเขียนข้อความในหนังสือ

เซ็นชื่อกำกับเพื่อความศักดิ์สิทธิ์

“ผมเคยถ่ายรูปกับพี่ตุ้มด้วยเมื่อหลายปีก่อน”

“ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วครับ” ผมถาม

“16 ปีครับ”

เดี๋ยวนะ 16 ปีก็ถือว่าเด็กมากสำหรับหนังสือแนวปรัชญาลึกซึ้งของผม 555

น้องยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู

เป็นรูปผมถ่ายคู่กับเด็กตัวเล็กคนหนึ่ง

ตอนนั้นเขายืนยังเตี้ยกว่าผมนั่งเก้าอี้อีก

ผมรีบขอถ่ายรูปตัวน้องพร้อมกับรูปถ่ายเก่าในมือถือ

จำได้ว่าครั้งนั้นคุณแม่พามาแล้วบอกว่าเด็กคนนี้ชอบอ่านหนังสือของผม

ตอนนั้นยังไม่เชื่อ

แต่ตอนนี้เชื่อแล้วครับ

เรื่องสุดท้าย มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งอายุน่าจะประมาณ 20 กว่า

เธอคั่นหนังสือส่งให้ผม

ในหน้านั้น มีลายมือของเธอเขียนด้วยปากกาสีแดง

เธอเขียนขอบคุณผม และบอกประมาณว่าถ้าไม่มีหนังสือของผมในวันนั้น

“จะไม่มีหนูในวันนี้”

ผมเงยหน้าสบตาน้อง

“เรื่องอะไรหรือครับ”

เธอไม่ตอบ ยิ้ม ส่ายหน้า แต่น้ำตาคลอ

ผมรู้แล้วว่าเธอเลือกที่จะเขียนแทนที่จะพูด

เพราะรู้ว่าพูดแล้วคงร้องไห้

ผมบอกว่าไม่ต้องเล่าตอนนี้ก็ได้

“แต่ช่วยเขียนมาหน่อยนะ ผ่านเมลหรือทางเพจก็ได้ พี่อยากรู้”

ผมเซ็นชื่อและส่งหนังสือคืน

สบตาให้กำลังใจเธออีกครั้ง

น้องยกมือไหว้ แล้วเดินจากไป •