หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๒๑)/บทความพิเศษ ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๒๑)

 

ในประวัติศาสตร์จีน สมัยราชวงศ์หมิง มีฮ่องเต้องค์หนึ่ง คือพระเจ้าว่านลี่ (1563-1620) เขาปกครองประเทศจีนนานถึง ๔๘ ปี วันๆ เขาเอาแต่สูบฝิ่นอยู่ในวัง ไม่ไปไหน แทบจะไม่เคยออกมาพบหน้าเหล่าขุนนางเลย

มีครั้งหนึ่ง เขาไม่โผล่หน้าออกมานานถึง ๒๖ ปี แล้วออกมาหนึ่งครั้ง เนื่องด้วยมีคดีภายใน เขาออกมาพร้อมกับรัชทายาทและหลานอีกสามคน เพื่อบอกขุนนางว่า พวกเขารักใคร่กันดี ใครมีปัญหา

เหล่าขุนนางไม่ได้เจอฮ่องเต้มาช้านาน ไม่เคยรู้จัก บัดนี้กราบอยู่ตรงหน้า หวาดกลัวจนพูดไม่ออก ทุกคนนิ่งเงียบ

มีขุนนางคนหนึ่งขยับปากจะพูด เพราะเห็นทุกคนนิ่งเงียบ อาจจะตั้งใจดี อยากทำลายบรรยากาศที่จับตัวแข็งนั้น ยังไม่ทันเปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว องค์ฮ่องเต้ก็ตวาด ว่าจับตัวมันไป และทันใดนั้นก็มีทหารมาจับตัวขุนนางคนนั้นไปเฆี่ยนตี และโยนเข้าคุก ขุนนางที่เหลือทุกคนยิ่งหวาดกลัว ไม่มีใครพูดอะไรอีก

พอฮ่องเต้เสด็จกลับเข้าวัง ปรากฏว่าตัวนายกรัฐมนตรีล้มทั้งยืน อุจจาระปัสสาวะเรี่ยราด ตอนที่มีคนหามเขาออกไป เขาเหมือนท่อนไม้ หูหนวกทั้งสองข้าง ตาบอดมองไม่เห็น

 

ในรัชสมัยพระเจ้าว่านลี่ เคยมีเสนาบดีขอลาออก แต่เขียนใบลาออกส่งเข้าไปในวังก็เงียบหาย เหมือนเอาซาลาเปาขว้างหัวหมา หายเงียบ ทำอย่างนี้ร้อยกว่าครั้งก็ไม่มีคำตอบ

จนวันหนึ่งเขาทนไม่ไหว ต้องเดินออกไปเอง ก็ไม่มีใครไปตามจับ ไม่มีใครสนใจ ข้าราชการมีตำแหน่งว่างมากมาย หกกระทรวงมีว่างห้ากระทรวง ไม่มีการแต่งตั้งคนใหม่ เกือบทั้งประเทศเหมือนไม่มีคนดูแล

คนบางคนถูกจับตัวเข้าคุกนานถึง ๒๐ ปี ก็ไม่เคยมีคนเข้ามาสอบสวน ไม่มีแม้แต่หนึ่งคำถาม มีคนไปร้องทุกข์ ก็ได้แต่คุกเข่าอยู่หน้าวัง ไม่มีคำตอบจากในวัง

นี้คือรัฐบาลผีดิบ ที่ไม่มีหัว น่าประหลาดเหลือเกิน ทำไมมันอยู่ได้นานถึง ๔๘ ปี คนจีนหายไปไหนหมด มันเกิดความหนืด ความเหนียว ขนาดนี้ได้อย่างไร

ราชวงศ์หมิง เป็นราชวงศ์แห่งผีดิบมาช้านาน ตลอดเวลาสองร้อยกว่าปี แต่มีบางยุคหนักหนากว่าปกติ มันเหลือเชื่อ

คำถามของฉันคือ มันอยู่ได้ยังไง

รัฐบาลของราชวงศ์หมิงยังอยู่ได้ ยังทำงาน กลไกของรัฐยังเคลื่อนไหว เหมือนผีดิบตัวนี้ ยังเดินเหินได้ แปลกเหลือเกิน ขนาดหัวขาดไปแล้ว ขนาดว่าพูดไม่ได้แล้ว ขนาดบ้านเมืองมีภัยพิบัตินานาชนิด มีกบฏเกิดขึ้นนับร้อย กลไกบางอย่างก็ยังเรียบร้อยดี ในแง่หนึ่ง

แสดงว่าระบอบการปกครองของจีนร้ายกาจเหลือแสน

 

รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ราชวงศ์หมิง แต่ทว่ามีบางส่วนที่เหนียวเหนอะ บางอย่างที่ผิดเหตุผล บางอย่างที่ไม่รู้ว่าอยู่ได้ยังไง แต่สิ่งนี้จะไม่หายไปด้วยการแค่พูด แค่จินตนาการ ไม่ใช่ด้วยการพาดหัวข่าว ขืนทำแบบนี้ เขาอยู่ไปได้อีก ๔๘ ปี

สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจเลย คือเว็บไซต์ของฝ่ายที่รักประชาธิปไตยจำนวนมาก ลงพาดหัวข่าวทำนองนี้

บิ๊กตู่กำลังจะลาออกแล้ว

บิ๊กตู่กำลังถึงทางตัน

บิ๊กตู่กำลังจะยุบสภา

พรรครัฐบาลกำลังแตก

พรรคร่วมรัฐบาลกำลังจะตีตัวออกห่าง

รัฐบาลหมดตัวแล้ว

เพราะมันขัดแย้งกับความเป็นจริง ฉันเห็นบิ๊กตู่ก็ยังมั่นคงสถาพรเหมือนเดิม ไม่มีวี่แววอะไรดังกล่าวเลย เขาไม่มีทางยุบสภา พรรครัฐบาลอาจมีความขัดแย้งกันบ้างในบางครั้ง ซึ่งก็เป็นธรรมดา แต่ถึงขั้นแตกหัก ไม่มีวี่แววเลย ข่าวพวกนี้จึงกลายเป็นข่าวปลอม ทำไมจึงออกข่าวทำนองนี้ และมีเยอะมาก เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ

คุณอาจหลอกฉันได้หนึ่งครั้ง แต่ครั้งที่สองหรือสามก็ไม่ได้แล้ว ฉันจะไม่เชื่อคุณอีกเลย

มันยากเย็นอะไรหรือ กับการออกข่าวตามความเป็นจริง คุณไม่ชอบบิ๊กตู่ ก็ไม่ว่า จะโจมตีนโยบายของเขา การทำงานของเขา ก็ไม่ว่า แต่การพาดหัวข่าวที่ไม่เป็นความจริงเช่นนี้ ต้องการขายข่าว ก็ได้ผล แต่แค่ครั้งเดียว คุณต้องการอย่างนั้นหรือ

หรือคุณเกิดปมด้อยขนาดหนัก สิ้นหวังขนาดหนัก ว่าล้มเขาไม่ได้ จึงต้องการการพาดหัวข่าว มาช่วยลดความเครียดของตัวเอง

 

ในประวัติศาสตร์จีน แบ่งคนออกเป็นหกชนชั้น

หนึ่ง ฮ่องเต้

สอง พวกเชื้อพระวงศ์และพวกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้า

สาม พวกตระกูลขุนนางระดับสูง ซึ่งมีเพียงไม่กี่ตระกูล

สี่ พวกขุนนาง ที่มาจากชนชั้นล่าง เรียกว่าฮั้งมึ้ง

ห้า พวกราษฎร์ ได้แก่ ข้าราชการระดับล่าง ชาวไร่ชาวนา พ่อค้า

หก ชนชั้นต่ำ ได้แก่ ข้าทาส ขันที นักร้อง นักดนตรี นักแสดง นางคณิกา

๑๐

การเคลื่อนจากชนชั้นล่างขึ้นไปชนชั้นบนทำได้ยากมาก แทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่พอมีช่องทางอยู่บ้างนิดหน่อย เช่น พ่อค้า หากร่ำรวยก็สามารถใช้เงินซื้อยศ ซื้ออำนาจได้ พาตัวขับเคลื่อนขึ้นข้างบน

หรือนักศึกษา สามารถสอบได้ ในการสอบที่มีขึ้นเสมอ จากชั้นห้า ขึ้นชั้นสี่

และหากมีความสามารถ ได้แต่งงานกับชนชั้นสูง ก็ขึ้นไปสู่ชั้นสาม อดีตกาลคือโลกแห่งการไต่เต้าชนชั้น

๑๑

ที่แปลกคือ ชนชั้นต่ำ ได้รวมนักร้อง นักแสดง แต่สังคมโบราณยกย่องนักกวี จิตรกร และคนลายมืองาม ยิ่งคนลายมืองาม ฉันดูไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าดูยังไง มันเป็นศาสตร์เฉพาะของคนจีน แต่ผู้คนยกย่องกันมาก เสมอเหมือนจิตรกรรม หรืออาจจะยิ่งกว่า

๑๒

ยิ่งยุคโบราณ นักกวียิ่งได้รับการยกย่อง และได้รับการยอมรับไปทั่ว เรียกว่าผู้คนส่วนใหญ่ หากอ่านหนังสือออก ก็แต่งบทกวีทันที

แต่ทว่าทำไมนักร้อง นักดนตรี นักแสดง กลับถูกเหยียดหยามหนักขนาดนี้ เรียกว่าตรงข้ามกันเลย

นี้คืออาการพิเศษของยุคสมัย ไม่มีเหตุผล ในยุคปัจจุบัน ดูจะเป็นตรงกันข้าม นักกวีมีบทบาทน้อยมาก แทบจะไม่มี แต่นักร้อง นักดนตรี นักแสดง กลับโชติช่วงกลายเป็นดวงดาว

๑๓

ตัวกำหนดที่สำคัญอันหนึ่งคือ เสียง แสดงให้เห็นว่าคนโบราณรักความเงียบ เพราะบทกวี จิตรกรรม และการเขียนตัวอักษร ล้วนถูกแสดงออกในความเงียบ ส่วนนักร้อง นักดนตรี นักแสดงเหล่านั้น ล้วนต้องใช้เสียง

แสดงว่าคนโบราณดูถูกการใช้เสียง แต่คนสมัยใหม่ยกย่องการใช้เสียง

 

๑๔

ยุคปัจจุบัน แม้ว่าชนชั้นจะลดความสำคัญลง ลดขนาดลง แต่ทว่าความเงียบก็ลดความสำคัญลงด้วย จนเกือบสูญหาย คนปัจจุบันกลับชอบการใช้เสียง ยิ่งเสียงดัง ยิ่งโด่งดัง และดูถูกความเงียบ ว่าไร้ค่า เชย

๑๕

ในความเห็นของฉัน การที่นักร้อง นักดนตรี นักแสดง กับนักปราชญ์ นักกวี จิตรกร จะมาเสมอเหมือนกันนั้น ก็ชอบธรรม แต่ทว่าทุกวันนี้ มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันเพียงพลิกกลับ เป็นตรงกันข้าม จะมีกี่คนในยุคนี้ ที่รักความเงียบ

๑๖

ความเงียบจะสูญหายไปนานเท่าไรนะ ร้อยปี หรือพันปี หรือหมื่นปี

มันคล้ายจะนานยิ่งนัก เหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ละลายหายไปทั้งลูก ทั้งเทือกเขา ไม่รู้อีกนานเท่าไร มันจึงจะกลับมา

๑๗

สังคมทุกวันนี้ คนต่อไปนี้มีอำนาจ

หนึ่ง คนที่มีอำนาจในทางการเมือง

สอง คนที่มีอำนาจในทางเศรษฐกิจ ได้แก่ คนรวย

สาม คนที่มีเสียง คนที่ยึดครองเทรนด์การเคลื่อนไหวของสังคม คนที่เป็นไอดอลในอินเตอร์เน็ต คนที่เวลาพูดอะไรมีคนเยอะแยะฟัง

แน่ละ มนุษย์ไม่ได้ทัดเทียมกัน เพียงแต่แบ่งชนชั้นกันใหม่ ในอีกรูปแบบหนึ่งที่แยบยลกว่า ลึกซึ้ง ละเอียด

ใครจะเชื่อ ว่าเสียงกลายมาเป็นตัวแบ่งชนชั้น

๑๘

คนต่อไปนี้ไม่มีอำนาจในทางการเมือง

คนยากไร้

คนที่รักในความเงียบ

คนเหล่านี้จะตกอยู่ในชนชั้นล่าง และเลื่อนไหลลงไปสู่ล่างที่สุด

ในยุคโบราณ อาจมีคนบางคนที่มีใจรักการแสดง รักการร้องเพลง รักการแสดงดนตรี คนเหล่านี้เรียกได้ว่า เป็นคนใฝ่ต่ำ

ในยุคปัจจุบัน ก็มีคนบางคนที่รักปรัชญา รักบทกวี รักจิตรกรรม คนเหล่านี้ก็เช่นกัน เรียกได้ว่า เป็นคนใฝ่ต่ำ

๑๙

ไม่น่าเชื่อเลย ว่าเสียง กลับมาเป็นตัวกำหนดชนชั้น และกำหนดอย่างแยบยล