ย้อนเวลาหาความจริง/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ย้อนเวลาหาความจริง

 

มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนในทางการเมือง ซึ่งแม้จะผ่านไปยาวนาน แต่ในทุกวันครบรอบเหตุการณ์นั้น จะมีงานรำลึกผู้ที่พลีชีวิต โดยมีผู้คนมาร่วมเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ ไปจนถึงเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับผู้ที่จากไป

ไม่ว่า 14 ตุลาคม 2516 ที่ผ่านมาแล้ว 49 ปี, 6 ตุลาคม 2519 ที่ผ่านมา 46 ปี, พฤษภาทมิฬ 2535 ที่ผ่านมา 30 ปี รวมทั้งเหตุการณ์ 99 ศพที่ผ่านมา 12 ปี

เหตุการณ์ 99 ศพ ซึ่งเป็นการปราบปรามการชุมนุมของเสื้อแดงในปี 2553 โดยใช้เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมกระสุนจริง เป็นวันนองเลือดที่มีคนล้มตายมากที่สุด

จุดเริ่มต้น มาจากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา เพราะที่มาของรัฐบาลไม่ชอบธรรม เนื่องจากอาศัยการพลิกขั้วและเปิดเจรจากันในค่ายทหาร จนทำให้ประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ

เริ่มชุมนุมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2553 เป็นการประท้วงเรียกร้องแบบยืดเยื้อ

วันเริ่มต้นนองเลือดคือคืนวันที่ 10 เมษายน เสียงปืน เสียงระเบิดดังระงม มีผู้เสียชีวิตทันที 25 ศพ เป็นประชาชน 20 ราย และเจ้าหน้าที่ทหาร 5 ราย จากนั้นความรุนแรงยังมีต่อเนื่องไปอีกกว่าเดือน จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ทหารจึงเข้ายึดพื้นที่ราชประสงค์ สลายการชุมนุม

ในปีนี้มีการจัดรำลึกเช่นเดียวกับทุกๆ ปี โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง ได้เชิญชวนให้ไปร่วมงานครบ 12 ปี 10 เมษายน ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ รำลึกวีรชน สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ แต่ไม่ปราศจากความเป็นมนุษย์ ไม่ประสงค์ปลุกความเกลียดชัง แต่ต้องการแสดงความรักของประชาชนต่อประชาชน รักความจริง รักความยุติธรรม รักหลักการคนเท่ากัน

นายณัฐวุฒิทบทวนถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นว่า เป็นเหตุการณ์ล้อมปราบที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ โยนแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ลงกลางกลุ่มผู้ชุมนุม ใช้กำลังต่อเนื่องถึงเวลากลางคืน อาวุธสงครามติดกล้องยิงระยะไกลจากจุดสูงข่ม

ครั้งแรกในโลกที่รัฐใช้อาวุธแบบนี้กับประชาชนที่ชุมนุมมือเปล่ากลางเมืองหลวง ทุกศพประชาชนไม่มีอาวุธ ไม่มีคราบเขม่าดินปืน

หลังเหตุการณ์ทั้งแกนนำและประชาชนผู้ร่วมชุมนุม ถูกจับกุมคุมขังดำเนินคดีหลายร้อยคน จำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรง ทั้งก่อการร้ายและชายชุดดำ ทุกคดียกฟ้อง หลายคดีถึงที่สุดในชั้นฎีกา ส่วนคดีฝ่ายรัฐถูกกล่าวหาว่ายิงประชาชนกลับพายเรือในอ่าง ศาลอาญา ป.ป.ช. ศาลทหาร แล้วกลับมาที่เดิมไม่คืบหน้า ทั้งที่มีการไต่สวนสาเหตุการตาย และศาลชี้เกือบ 20 รายว่าเสียชีวิตจากกระสุนปืนฝ่ายเจ้าหน้าที่

ประเด็นสำคัญที่แกนนำเสื้อแดงกล่าวย้ำคือ เป็นการปราบปรามผู้ชุมนุมที่ใช้ปฏิบัติการทหารเต็มรูปแบบ มีอาวุธสงครามติดกล้องยิงระยะไกลหรือสไนเปอร์ ขณะที่ชาวเสื้อแดงที่เสียชีวิต ทุกศพไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีคราบเขม่าดินปืนในมือ

ถ้ารัฐบาลบอกว่าเป็นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่แฝงในม็อบ แต่ในความจริงคนตายคือผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ หลักฐานยืนยันคือไม่มีเขม่าปืนในมือ!!

 

จากข้อเรียกร้องยุบสภาŽ ขอให้รัฐบาลอภิสิทธิ์คืนอำนาจให้ประชาชนกลับไปตัดสินใจกันใหม่ เนื่องจากเสื้อแดงมองว่า มีการอาศัยอำนาจนอกระบบประชาธิปไตยเข้ามาพลิกขั้วทางการเมือง และไปเจรจากันในค่ายทหารเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ถือว่ามีที่มาอันไม่ชอบธรรม

แต่ข้อเรียกร้องยุบสภาไม่บรรลุผล การชุมนุมที่เริ่มต้นตั้งแต่ 12 มีนาคม 2553 มาจนถึงวันที่ 10 เมษายน จึงเริ่มมีการปะทะกันระหว่างม็อบกับเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแต่ช่วงบ่าย แต่ยังเป็นการใช้แก๊สน้ำตา ยังไม่มีกระสุนจริง

ต่อเนื่องไปจนถึงมืดค่ำ ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีเสียงเตือนจากหลายฝ่ายว่า รัฐควรหยุดปฏิบัติการปะทะกับม็อบ ไม่ควรยืดเยื้อต่อไป เพราะในช่วงเวลาที่ฟ้ามืดเช่นนั้น อาจเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้

แต่ปฏิบัติการของรัฐก็ไม่หยุด จนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้นจริงๆ มีเสียงระเบิดใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารจนล้มตายและบาดเจ็บหลายนาย จากนั้นเสียงปืนก็ดังระงม คราวนี้ฝ่ายผู้ชุมนุมล้มตายเสียชีวิตกันระนาว

คืนนั้นเหตุการณ์เกือบจะบานปลายจนควบคุมไม่ได้แล้ว จนกระทั่งแกนนำเสื้อแดงคือนายณัฐวุฒิ ได้ประกาศเรียกร้องให้ฝ่ายทหารถอยออกไป และให้ฝ่ายผู้ชุมนุมถอยกลับออกมา พร้อมกับขอติดต่อกับตัวแทนรัฐบาลเพื่อให้สถานการณ์สงบโดยเร็วที่สุด

เสียงปืนเสียงระเบิดจึงสงบลง พร้อมกับคนเสียชีวิตทันที 25 ราย

การที่นายณัฐวุฒิ เป็นผู้ประกาศขอให้ยุติการใช้ความรุนแรง จึงขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง กับประเด็นที่รัฐกล่าวอ้างว่าฝ่ายเสื้อแดงมีแผนสร้างความรุนแรง โดยมีกลุ่มชายชุดดำออกมารัวยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ เพื่อมุ่งหวังจุดชนวนความรุนแรง ให้เกิดจลาจลลุกลามเผาบ้านเผาเมือง!

เพราะถ้าเสื้อแดงมีแผนทำให้มีคนล้มตายเพื่อขยายการจลาจล

ทำไมฝ่ายเสื้อแดงเองที่เรียกร้องให้ยุติการปะทะกัน

ไม่เท่านั้น จากการพิสูจน์ของหลายๆ ฝ่าย ชัดเจนว่ากลุ่มทหารที่ถูกระเบิดล้มตายในคืนนั้น อันเป็นหนึ่งในชนวนที่ทำให้สถานการณ์ลุกลามรุนแรง พบว่าถูกคนร้ายขว้างระเบิดมือเข้าใส่ แปลว่าผู้ก่อเหตุจะต้องยืนอยู่ไม่ไกลนัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่า เสื้อแดงจะเป็นผู้ใช้ระเบิดถล่มใส่เจ้าหน้าที่ทหาร

แต่ลงเอย รัฐก็ไม่ยอมพิจารณาความจริงเหล่านี้ เดินหน้ากล่าวหาผู้ชุมนุมว่ามีกลุ่มก่อการร้ายแฝงอยู่

จนนำไปสู่คำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารใช้กระสุนจริงได้ อ้างว่าเพื่อป้องกันตัวจากผู้ก่อการร้าย ไปจนถึงมีหลักฐานชัดเจนว่ายังจัดทหารหน่วยสไนเปอร์ซุ่มยิงจากที่สูงอีกด้วย

ที่อ้างว่าป้องกันตัวจากผู้ก่อการร้ายนั้น ทำให้ผู้ชุมนุมล้มตายไปเรื่อยๆ จนถึง 99 ศพ

ทุกศพไม่มีปืนในมือ ไม่มีเขม่าดินปืนในมือ จะเป็นผู้ก่อการร้ายที่กล่าวอ้างให้ใช้กระสุนจริงได้อย่างไร!?

 

น่าสนใจอย่างยิ่งว่า คนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการในเหตุการณ์ 99 ศพ จำนวนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดม็อบนกหวีดไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมให้เลือกตั้งใหม่ ทำให้สถานการณ์ถึงจุดที่มีการรัฐประหารยึดอำนาจ

เหตุการณ์ม็อบและรัฐประหารในปี 2557 กับคดี 99 ศพ จึงเหมือนแยกกันไม่ออก

รัฐบาลในเหตุการณ์ปี 2553 มีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และมีบทบาทสำคัญใน ศอฉ. เช่นเดียวกับผู้นำกองทัพขณะนั้นคือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 99 ศพ มีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ปี 2557 ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ล้มไป อย่างปฏิเสธไม่ได้

ขณะที่คดี 99 ศพนั้น เดิมทีได้มีการทำสำนวนไต่สวนชันสูตรศพ และศาลชี้ผลการไต่สวนไปแล้ว 17 ศพว่า ตายด้วยกระสุนปืนจากทหารหรือจากฝั่งทหาร สำนวนไต่สวนนี้ ต้องนำไปสู่การฟ้องคดีอาญาต่อไป

แต่คดีแรกๆ ก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ มีการโต้แย้งประเด็นกฎหมาย ว่าคดีนี้ต้องผ่านการไต่สวนใน ป.ป.ช.ก่อน จนสุดท้ายตกไปจากศาล

ส่วนคดีอื่นๆ ใน 17 ศพที่ศาลชี้ว่าตายด้วยปืนจากฝ่ายทหาร ก็หยุดนิ่งไปหมด การไต่สวนศพอื่นๆ ก็หยุดชะงักไปหมด

จึงน่าสนใจว่า หนึ่งในชนวนลับๆ ของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีประเด็น 99 ศพเกี่ยวด้วยหรือไม่!?

แล้วคำถามง่ายๆ ก็คือ ทำไมฝ่ายผู้มีอำนาจในเหตุการณ์ ที่กล่าวหาว่าชายชุดดำคือพวกเสื้อแดง เป็นผู้ใช้อาวุธยิงพวกเดียวกันเองตายเพื่อสร้างสถานการณ์

แล้วทำไมฝ่ายรัฐ จึงไม่พร้อมจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในศาล

ตรงกันข้ามกับฝ่ายเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่ากันเอง กลับทำทุกทางเพื่อให้พิสูจน์ความจริงเหล่านี้ในกระบวนการศาล!