คุยกับ เต๋อ นวพล ในวัย38ปี “มันมีความสะพานขาด”- “เหมือนมาถึงสุดกำแพง” และ คำถามใหม่ในชีวิต… ?

ตอนนี้ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ มีอายุได้ 38 ปี

และความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ “มันมีความสะพานขาด”, “เหมือนมาถึงสุดกำแพง”

“แล้วต้องเริ่มถามต่อแล้วว่ายังไงต่อ”

ก่อนอายุจะเดินทางมาถึงเลขนี้ เต๋อบอกว่าเขาก็คงเหมือนคนทั่วไป ที่ตอนวัย 20 ความสนใจจะอยู่ที่ห้องเรียนมหาวิทยาลัย ความรัก แล้วก็เพื่อน ขณะเดียวกันก็ยังมีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากทำอะไร มีอาชีพแบบไหน และเมื่อถึงเวลาหนึ่ง “มันจะมาจบในจุดที่คุณได้ทำทุกอย่างที่คุณอยากทำ หรืออะไรที่ใกล้เคียง”

และเมื่อเวลาผัน วันเปลี่ยน เขาก็ได้พบว่า ขณะที่ตัวเองโตขึ้น นอกจากจะพบว่าหลายๆ อย่างของตัวเองเปลี่ยนไป ความต้องการของคนรอบข้างก็ยังชัดเจนขึ้น ซึ่งต่างๆ นานาที่พบและรู้สึกดังกล่าว ก็ทำให้เกิดความคิดทั้งในเรื่องชีวิตและเรื่องงาน

ในส่วนงาน คือได้ไอเดียทำหนัง ‘Fast & Feel Love เร็วโหด…เหมือนโกรธเธอ’ ซึ่งกำลังลงโรงฉาย เล่าเรื่องของชายหนุ่มวัย 30 ซึ่งในด้านอาชีพจะต้องพิสูจน์ตัวเองครั้งสำคัญ เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันก็มีสารพันปัญหาให้แก้ไข ซ้ำร้ายแฟนสาวก็กำลังจะทิ้งเขาไปอีกต่างหาก

ขณะที่ในเรื่องชีวิต ก็ทำให้เกิดคำถาม แล้วยังไงต่อ?

เพราะตอนนี้การงานที่ฝันไว้ ก็ได้ทำแล้ว ได้เป็นแล้ว

“แล้ว what next อ่ะ ความสำเร็จต่อไป เป้าหมายต่อไปคืออะไร มันต้องถามใหม่หมดเลย”

อย่างไรก็ตาม หลังจากเฝ้าถาม คำตอบที่เขาได้ คือไม่ถามดีกว่า เต๋อเล่าพลางหัวเราะ

เพราะ “ถามไปแล้ว เราก็ไม่รู้”

ทุกวันนี้เลยใช้วิธีแบบ ‘ระยะสั้น’ ถามตัวเองในแต่ละวัน ว่าวันนี้ต้องการอะไร

“เป็นวัยที่เหมือนเริ่มจะเลือกสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น เป็นช่วงรวบรวมว่า อันนี้ไม่เอาแล้ว ไปทีไรปวดหัวทุกที ตอนเด็กๆ ผมมีความแบบจะต้องสู้ ต้องปรู๊ฟสักอย่าง พอแก่ขึ้นจะไม่ค่อยปรู๊ฟ เอาแค่ที่สบายใจ เหมือนเป็นการรีบูธใหม่อีกรอบหนึ่ง”

ฟังดูเหมือนคนแก่ยังไงไม่รู้-เราแซว

ได้ยินแล้วเขาหัวเราะ พร้อมยอมรับว่า เคยพูดแบบนี้กับเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเพื่อนก็พูดประโยคเดียวกับเราเปี๊ยบ

“ผมว่าไทม์ไลน์ในชีวิตผมมันถูกบีบอัดนิดนึงฮะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ในแง่การทำงาน 10 ปี ได้ทำ 7 เรื่องนี่เร็วมากนะ คนอื่นเขาอาจจะ 2 ปีเจอ 1 ครั้ง แต่ของผมเกือบจะปีละครั้ง เพราะฉะนั้น มันเหมือนเข้าใจความต้องการตัวเองไวมาก”

“ผมเจอเรื่องที่ตามมาจากการฉายหนังเยอะมาก คอมเมนต์คนดู เจอทุกแบบเร็วมาก เลยเหมือนบีบอัดให้หาความต้องการของตัวเองเร็วขึ้น”

“สมมุติผมอยากทำหนังตอนอายุ 20 อยากทำ 7 เรื่อง รู้สึกว่าถ้าจะทำครบ คงต้องอายุ 50 มั้ง แต่ว่าด้วยโชคชะตา อะไรก็ตาม ทำให้ผมเสร็จภายใน 36-37 แล้วมันมีความสะพานขาดนิดหน่อย เหมือนมาถึงสุดกำแพง แล้วต้องเริ่มถาม ยังไงต่อเนี่ย ประมาณนั้น”

“จริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะรู้สึกอย่างนี้ เร็วขนาดนี้เหมือนกันนะ เพราะในระหว่างทางมันเอ็นจอยมาก มีโปรเจ็กต์สนุกๆ เข้ามาเต็มไปหมด แต่อาจจะเพราะเราได้ทำแบบนี้บ่อยมั้งฮะ”

“แล้วไอ้ความสุดกำแพง ในวูบหนึ่งมันก็มีความเหงาๆ เหมือนไม่มีบรีฟใหม่มา”

“แต่ในทางหนึ่งก็รู้สึกว่ามันสบายตัวขึ้น ตรงที่อ๋อ…เรากำหนดบรีฟใหม่เองได้นี่หว่า เลือกที่จะทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อนได้นะ บางทีเมื่อก่อนเด็กๆ อาจจะไม่กล้า อันนี้จะดีเหรอ อย่าเลย หรืออันนี้ไม่อยากทำ ก็ต้องทำ แต่พอเราเริ่มเปิดรูทใหม่ ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำไหม เหมือนหนังเรื่องนี้ คนจะบอกว่าไม่เหมือนเรื่องที่ผ่านมาเลย ซึ่งใช่ เพราะเป็นความตั้งใจของเรา ที่อะไรที่ทำคล่องมือแล้ว รอบนี้เราจะไม่ทำ จะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน”

“และถ้าโปรเจ็กต์แบบนี้เกิดขึ้นตอนอายุ 20 กว่า ผมอาจจะไม่ทำด้วยซ้ำ เพราะมันคงมีความกลัวบางอย่าง อาจจะกลัวเฟล หรือกลัวอะไรก็ตาม คือปกติงานที่ทำมันก็ค่อนข้างเป็นแบบทดลอง น่ากลัวทุกเรื่อง แต่ว่ามันจะมีอีกเขตหนึ่งที่จะไปดีไหมนะ หรืออย่าเพิ่ง ไม่ไปดีกว่า จะเป็นเขตที่เอ๊กซ์ตรีมกว่า ซึ่งถ้าเกิดยังมีห่วงเรื่องอื่นๆ ก็จะยังไม่กล้าไป แต่เรื่องนี้เอาเลย ต้องลอง ก็ด้วยวัยนี้แล้ว และอาจจะทำอะไรเป็นมากขึ้นกว่าตอน 20 แล้วความกลัวก็น้อยลง”

และก็ได้ผลลัพธ์ที่ “ผมแฮปปี้ อาจจะมากที่สุด กว่าเรื่องอื่นด้วยซ้ำ”

เหตุผลนั้น เขาประเมินว่าอาจมาจาก “พอไม่ค่อยกลัว มันจะโอเพ่นกับคนอื่นสูงมาก นักแสดงสามารถโยนไอเดีย ที่เราก็ทำขึ้นมาจริงๆ ซีนบางซีนเกิดจากทีมงานพูดอะไรขึ้นมาเล่นๆ อันหนึ่ง แล้วซีนใหม่ก็งอกเลย”

“อย่าง ‘ฮาว ทู ทิ้ง’ ไดเร็กชั่นทุกอันถูกคิดมาหมด เหมือนผมดราฟมาว่าเราจะวาดแบบนี้นะทุกคน แต่ครั้งนี้คิดแค่ว่าจะเป็นแคนวาส ให้พู่กันทุกคนไปคนละอัน แล้วเรามาทำกัน”

ความเปลี่ยนแปลงนี้ เต๋อบอกว่า มาจาก 2 สาเหตุ คือจากสไตล์หนังที่อำนวยให้ กับความกลัวที่น้อยลง

“สมัยก่อนจะมีความ ‘แบบนี้ได้ไหม’ แล้วพอมัน ‘จะได้ไหม’ เราก็ไม่เอาละ เสียว แต่รอบนี้เพราะแนวที่เราจั่วไว้ว่าเป็นแอ๊กชั่นในชีวิตประจำวัน ซึ่งพอเป็นแบบนี้ anything can happen”

ส่วนเมื่อถามเรื่องความไม่กลัว ว่าเป็นเพราะมั่นใจในเสียงตอบรับ, ชินกับเสียงวิจารณ์ หรืออะไรอื่น

เขายิ้มเบาๆ แล้วบอก “เพราะผมอยากสนุกกับการทำงาน แล้วผมนึกถึงสมัยทำหนังเรื่องแรกๆ คือเวลาที่ทำหนังไปเรื่อยๆ ไอ้สปิริตแห่งความไม่กลัวมันจะมีอยู่นะ แต่มันเหมือนหินปูนน่ะ จะหนาขึ้นเรื่อยๆ อย่าเลย แบบนี้ไม่เอาดีกว่า แล้วผมอยากได้ความเฟรชแบบนั้นกลับมา ความแบบคุณจำได้ไหม ว่าตอนที่ทำเรื่องแรกน่ะ มันเป็นแบบไหน คุณสนุกมากเลย จำได้ไหม ว่าคุณจะไม่กลัวอะไร เพราะมันไม่มีอะไรต้องเสีย แต่เวลาโตขึ้น เราจะรู้ว่ามันจะมีสิ่งที่เราเสียไม่ได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากเจออย่างนั้น ไม่อยากเจอแบบนี้ ซึ่งสำหรับผม ผมรู้สึกว่าในการทำงานหนังเรื่องหนึ่ง กระบวนการทำสำคัญกว่า final result มากๆ”

“โอเค ผมก็สนใจ final result นะ ไม่ใช่ผลเป็นอย่างไรช่างมัน แต่เราอยากทำงานที่ระหว่างทางเราได้เรียนรู้ มีความตื่นเต้นบางอย่างในการที่จะทำ ไม่ใช่ประมาณนี้แหละ ชัวร์ มันจะต้องรู้สึกแบบนี้ไปตลอด 1 ปีที่ทำหรือ ผมว่ามันไม่ค่อยโอเค”

“แล้วที่ไม่กลัวอีกอย่าง เพราะตอนที่ทำเรื่องแรก เราก็ทำด้วยความรู้สึกนี้แหละ ผ่านไป 10 ปี มันก็โอเคนี่หว่า อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าผมต้องได้ 100 ล้าน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องทุกข์ใจประมาณหนึ่ง”

“ผมแค่รู้สึกว่าทุกเรื่องที่ทำ หนึ่ง มันเป็นบทบันทึกชีวิตในแต่ละช่วง สำหรับผมมันกำไรมากนะครับ กับสอง ผมเอ็นจอย หมายถึงว่าความรู้สึกระหว่างทาง ตอนเสร็จเป็น final cut มันโอเคแล้ว และถ้าฉาย ในเชิงธุรกิจมันไม่ได้เจ๊ง ซึ่งก็ไม่เคยเจ๊งสักเรื่อง ก็โอเค”

“สำหรับผมนี่คือชีวิตการทำงานและการทำหนัง”

“ที่พอรู้สึกตัวอีกที ก็อายุ 38 ปีแล้ว”