สงครามยูเครน : บททดสอบครั้งสำคัญสำหรับสี จิ้นผิง | สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

สงครามยูเครน

: บททดสอบครั้งสำคัญสำหรับสี จิ้นผิง

 

จีนวางตัวอย่างไรในสงครามยูเครน? เป็นฝ่ายรัสเซียเต็มตัวหรือเป็น “ผู้ไกล่เกลี่ย”?

เป็นกรณีศึกษาของการเมืองระหว่างประเทศที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ด้านหนึ่ง ปักกิ่งเป็นสหายสนิทของมอสโก

อีกด้านหนึ่ง จีนไม่ต้องการถูกรัสเซียลากเข้าไปสู่ภาวะสงครามยืดเยื้อเพราะจะกระทบต่อการผงาดเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับสองที่กำลังไต่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง

อีกแต่ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่ต้องการจะกดดันรัสเซียจนต้องจนมุมตะวันตก

จีนก็ไม่ไว้วางใจสหรัฐเพราะรู้ดีว่าวอชิงตันต้องการจะสกัดการเติบใหญ่ของจีนทุกวิถีทางเช่นกัน

ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของจีนในกรณีนี้ก็คือการ “เดินไต่ลวด” อย่างระมัดระวัง ไม่ให้เอียงข้างใดข้างหนึ่งจนหล่นลงไปในหุบเหวแห่งหายนะข้างล่าง

ผมติดตามถ้อยแถลงและคำอธิบายจุดยืนของจีนจากผู้นำในระดับต่างๆ ของจีนอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว

อย่างเช่น

“จุดยืนของจีนในประเด็นยูเครนนั้นมีวัตถุประสงค์และยุติธรรม และเวลาจะพิสูจน์ว่าอยู่ข้างความถูกต้องของประวัติศาสตร์…” (มนตรีแห่งรัฐของจีนและรัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้)

“จีนกับรัสเซียมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มีความไว้วางใจกันอย่างลึกซึ้ง เรามีชายแดนติดต่อกันยาวถึง 4,000 กว่ากิโลเมตร และความใกล้ชิดของเรากับรัสเซียควรจะต้องมองเป็นปัจจัยบวก ไม่ใช่ปัจจัยลบ จีนเป็นส่วนหนึ่งของทางออก ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา…” (เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐ ฉิน กัง)

จุดยืนของจีนเรื่องสงครามยูเครนเป็นอย่างไร มีคำอธิบายจากท่านทูตฉิน กังในบทความ Washington Post ที่สะท้อนถึงวิธีสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างนี้

“ผมเข้าใจดีว่าชาวอเมริกันจำนวนมากกำลังพยายามทำความเข้าใจว่าจีนมีจุดยืนอย่างไรในขณะที่วิกฤตในยูเครขณะนี้…”

ทูตจีนบอกว่า มีการกล่าวอ้างว่าจีนรู้ก่อนว่าจะมีปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน ถึงกับมีข่าวว่าปักกิ่งได้เรียกร้องให้รัสเซียเลื่อนปฏิบัติการนั้นออกไปจนกว่าโอลิมปิกฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง และมีข่าวลือต่อมาอ้างว่ารัสเซียกำลังขอความช่วยเหลือทางทหารจากจีน

ท่านทูตเขียนว่า

“ขอให้ผมได้แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาและอย่างรับผิดชอบว่า : การยืนยันว่าจีนรู้ ยอมรับ หรือสนับสนุนสงครามครั้งนี้โดยปริยายเป็นการบิดเบือนข้อมูลล้วนๆ”

“การกล่าวอ้างเช่นนั้นมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นคำตำหนิและเหวี่ยงโคลนที่ประเทศจีนเท่านั้น…”

ท่านทูตบอกว่ามีชาวจีนมากกว่า 6,000 คนในยูเครน

จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของทั้งรัสเซียและยูเครน และเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก

และตอกย้ำว่า

“ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่เป็นผลดีต่อจีน หากจีนรู้เกี่ยวกับวิกฤตที่ใกล้เข้ามา เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤต…”

และย้ำว่าจีนดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นไปทางสร้างสันติภาพอย่างเป็นอิสระ

เขายืนยันว่าจีนเป็นผู้สนับสนันหลักการแห่งความยุติธรรมอย่างแข็งขัน

และจีนตัดสินใจจุดยืนของตนโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้

“สำหรับยูเครน จุดยืนของจีนคือต้องปฏิบัติตามวัตถุประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเต็มที่ ต้องเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ รวมทั้งยูเครน ข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่ถูกต้องตามกฎหมายของทุกประเทศต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง และทุกความพยายามที่เอื้อต่อการยุติวิกฤตอย่างสันติต้องได้รับการสนับสนุน…”

 

ทูตฉิน กัง บอกว่าสงครามหรือการคว่ำบาตรไม่สามารถส่งมอบสันติภาพได้

และการขู่จะคว่ำบาตรจีนในขณะที่แสวงหาการสนับสนุนและความร่วมมือจากจีนย่อมไม่ประสบความสำเร็จ

ว่าแล้วก็หนีไม่พ้นว่าจะต้องโยงถึงประเด็นไต้หวัน

ทูตจีนบอกว่าบางคนเชื่อมโยงไต้หวันกับยูเครน

“นี่เป็นการประเมินที่ผิดพลาด เพราะสองประเด็นนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง…”

เขาอธิบายว่ายูเครนเป็นรัฐอธิปไตย ในขณะที่ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนที่แยกออกไม่ได้

ประเด็นไต้หวันเป็นเรื่องภายในของจีน

จึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่ผู้คนจะเน้นย้ำหลักการอธิปไตยในยูเครนในขณะที่ทำร้ายอธิปไตยของจีนและบูรณภาพแห่งดินแดนในไต้หวัน

ทูตฉิน กัง ย้ำว่าอนาคตของไต้หวันย่อมขึ้นอยู่กับการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบและการรวมชาติของจีน

ปักกิ่งย้ำว่าจะรวมชาติอย่างสันติ แต่ก็สงวนสิทธิ์ที่จะมี “ทางเลือก” ทุกทางเพื่อสกัดไม่ให้มีความพยายามที่จะแยกดินแดนไต้หวันออกจากจีน

ว่าแล้วทูตจีนก็ย้ำว่า

“เราหวังว่าสหรัฐจะยึดมั่นในหลักการจีนเดียวอย่างจริงจังและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกหรือสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพของไต้หวันในทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงในระยะยาวในช่องแคบไต้หวัน”

ดังนั้น จีนและสหรัฐอเมริกาต้องทำงานร่วมกันเพื่อไม่ให้มีความเคลื่อนไหวในสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นอิสระของไต้หวัน”

 

กรณียูเครนนั้น ท่านทูตจีนบอกว่าปักกิ่งได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการผลักดันให้มีการเจรจาสันติภาพและการป้องกันวิกฤตด้านมนุษยธรรม

และเปิดเผยว่าในการโทรศัพท์คุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในวันที่สองของความขัดแย้ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้แสดงความปรารถนาของจีนที่อยากเห็นรัสเซียและยูเครนจัดการเจรจาสันติภาพโดยเร็วที่สุด

และจีนก็เข้าใจได้ว่าได้รับการตอบรับในเชิงบวก

ในการพูดคุยกับผู้นำของฝรั่งเศสและเยอรมนี สี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการร่วมกันสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน

ทูตฉิน กัง บอกว่า Yang Jiechi ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศได้พบกับที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ Jake Sullivan ในกรุงโรม

ขณะเดียวกันรัฐมนตรีต่างประเทศจีน Wang Yi ยังคงสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับรัฐมนตรีต่างประเทศ Antony Blinken และรัฐมนตรีต่างประเทศคนอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ยูเครน จี

ปักกิ่งยังได้ร่างแผน 6 ประการเรียกร้องให้ดำเนินการด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามหลักการความเป็นกลางและความถูกต้องเป็นธรรม

เรียกร้องให้เอาใจใส่ผู้พลัดถิ่นในและออกจากยูเครนอย่างเต็มที่ รับรองการคุ้มครองพลเรือน

จัดให้มีกิจกรรมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ปลอดภัยและราบรื่น

จัดให้มีความปลอดภัยของชาวต่างชาติในยูเครน และสนับสนุนบทบาทประสานงานของสหประชาชาติในการจัดหาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตลอดจนงานของผู้ประสานงานด้านวิกฤตการณ์ของสหประชาชาติในยูเครน เวชภัณฑ์ฉุกเฉินชุดแรกที่มอบให้โดยสภากาชาดจีนไปยังประเทศยูเครนได้ถูกส่งมาจากปักกิ่งแล้ว

 

เห็นได้ชัดว่านักการทูตในระดับต่างๆ ของจีนต้องการจะตอกย้ำถึง “ความเป็นกลาง” ของจีนในกรณีวิกฤตยูเครน

แต่เป็น “ความเป็นกลาง” ที่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นการทำให้รัสเซียถูกคุกคามโดยฝั่งตะวันตกจนทำให้ “ดุลแห่งอำนาจ” หรือ balance of power ในระดับโลกถูกกระทบจนจีนกลายเป็นเหยื่อของการรุกคืบของตะวันตกเช่นกัน

เพราะจีนก็มีประเด็น “ละเอียดอ่อน” ของตัวเองว่าด้วยไต้หวัน, ซินเจียง และฮ่องกง ที่อาจจะมีการเปรียบเทียบว่ามีความละม้ายกับกรณียูเครน

จีนพยายามแยกสองเรื่องนี้ออกเพื่อไม่ให้นโยบายของตนถูกกระทบด้วยกรณี “ว่าแต่เขา…อิเหนาเป็นเอง”

ในปีที่สี จิ้นผิง กำลังจะต่ออายุการบริหารประเทศไปอีก 5 ในในปีนี้…กรณียูเครนกลายเป็น “ความท้าทาย” ที่หนักหน่วงที่สุดในมิติการเมืองระหว่างประเทศตั้งแต่เขาขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศเลยทีเดียว