นงนุช สิงหเดชะ : เรื่องของดารา (คิดน้อย) ชอบโพสต์โซเชียล “อวดรวย”

AFP PHOTO / YOSHIKAZU TSUNO

สื่อสังคมออนไลน์ เปิดพื้นที่ให้เราทำอะไรได้ง่ายก็จริง เพราะช่วยให้ทุกคนมีสื่อหรือช่องทางสื่อสารของตนเอง แต่หากไม่อยากซวยหรือเสียผู้เสียคนในภายหลังจำต้อง “มีสติแข็งแกร่ง” ในการใช้มัน ต้องกลั่นกรอง คิดให้มากเข้าไว้ก่อนจะโพสต์อะไร

ความง่าย สะดวก และเร็วทันใจของมัน ดูเหมือนจะเป็นจุดแข็ง แต่มันกลายเป็นจุดอ่อน จุดตายสำหรับผู้ใช้ที่ขาดดุลพินิจ-วิจารณญาณ และแม้แต่จะมีตัวอย่างให้เห็นนักต่อนักแล้วว่าการโพสต์บางอย่างโดยไม่ไตร่ตรอง “นำเรื่อง” เดือดร้อนแสนสาหัสมาให้ แต่ก็ปรากฏว่ายังมีคนอีกมากทำผิดซ้ำรอยเดิมของคนอื่นๆ ที่ “ซวย” ไปก่อนหน้านั้น

สะท้อนว่ามนุษย์จำนวนมากไม่สามารถเรียนรู้จากบทเรียนของคนอื่น

นั่นเป็นเพราะ “คิดน้อย” หรือถึงขั้นไม่รู้จักคิด

 

เช่นเมื่อไม่นานมานี้ ลูกสาวตำรวจนายหนึ่งนำเอาใบสั่งที่ได้รับการ “ลดข้อหาและค่าปรับ” จากตำรวจหลังเธอบอกว่าเป็นลูกใครมาโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กอย่างภูมิใจ ก็ทำให้คุณพ่อของเธอเดือดร้อนไปด้วย เพราะเท่ากับว่าลูกสาวนายตำรวจใหญ่ที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎจราจร กลับใช้เส้นสายของพ่อไปเบ่งกับตำรวจเพื่อให้ลดค่าปรับและลดข้อหา

ในส่วนของดารา ก็มีหลายคนที่มีพฤติกรรมชอบอวดรวย ด้วยการนำรูปบ้านราคาหลายสิบล้านบาทมาโพสต์ บางทีก็อวดรวยในรูปแบบอื่นๆ เช่น ใช้ของแบรนด์เนม

ปกติเป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าดาราดังหรือคนดังก็ย่อมมีฐานะดีกว่าคนส่วนใหญ่ พวกเขาเป็นคนแค่เพียงส่วนน้อยนิดไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของโลกหรือของประเทศแต่มีสินทรัพย์มากกว่าคนอีก 80 กว่าเปอร์เซ็นต์หลายเท่า

เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะใช้ของแพง กินอยู่หรูหรา แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่นำความรวยของพวกเขามาตีแผ่ มักเป็นบรรดาผู้สื่อข่าวหรือปาปารัซซี่ พวกเขาไม่ได้เป็นผู้จงใจอวดความรวยด้วยตัวเอง

การเป็นคนรวยหรือการใช้ของแพงๆ แล้วมีคนอื่นแอบนำภาพของเรามาเสนอทางสื่อ แตกต่างจากการที่คนรวยหรือคนดังนั้นๆ ตั้งใจเอามาอวดด้วยตัวเอง

การถูกคนอื่นแอบเอาเรื่องความรวยของเรามาเสนอ อย่างน้อยก็ไม่ถูกหมั่นไส้มากจากคนทั่วไปส่วนใหญ่ที่มีฐานะแค่พอมีพอกิน หรือจำนวนไม่น้อยก็ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร

ผิดกับดาราหรือคนดังที่จงใจอวด จะทำให้คนทั่วไปรู้สึกหมั่นไส้หรือแค้นเคืองเอาได้ ท่ามกลางสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเช่นนี้

การเป็นดาราหรือคนดัง ถือว่าโชคดีมีรายได้มากและสุขสบายกว่าคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว และสังคมก็รับรู้กันโดยปริยาย แต่เมื่อใดที่เราจงใจอวด จะทำให้คนส่วนใหญ่ถูกตอกย้ำเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรมทางรายได้ และทำให้พวกเขาไม่พอใจสังคมหนักขึ้นไปอีก อาจถึงขั้นเกลียดพวกอวดรวยไปเลยก็ได้

เคยเห็นดาราสาวรายหนึ่ง ที่ได้สามีเป็นเศรษฐีในวงการโทรคมนาคม ตอนแต่งงานใหม่ๆ เธอชอบโพสต์อวดความสวีตแนบเนื้อ (ที่ดูน่ากระอักกระอ่วนสำหรับคนภายนอก) กับสามีถี่มาก ควบคู่กับการอวดรวยอย่างอื่น เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม ไปนั่งเรือยอชต์ จนถูกวิจารณ์ว่าเป็นหญิงชอบ “อวดสามีรวย”

หลายคนเห็นแล้วยังนึกว่า เธอไม่รู้ตัวเลยหรือว่าทำอย่างนั้นมันเกินพอดีและดูน่าหมั่นไส้ เหมือนคนเห่อความรวยหรือตื่นความรวย แทนที่จะทำให้เธอเป็นคน “ดูรวย ดูแพง” ตามสถานะของสามี มันกลับทำให้รู้สึกว่าเธอไม่ค่อยมีคลาส

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังๆ เธอเลิกโพสต์ภาพแบบนั้นไปเลย เข้าใจว่าคงมีใครสะกิดเตือนเธอให้ระมัดระวัง

 

ล่าสุดก็เกิดกรณีดาราสาวคนหนึ่ง ที่เพิ่งเป็นข่าวไปใหม่หมาด ที่นำภาพกระเป๋าและอื่นๆ ที่เป็นแบรนด์เนมแพงระยับประมาณ 9 ชิ้น (เท่าที่นับได้จากภาพ) ซึ่งเธอไปช็อปปิ้งที่สิงคโปร์แล้วนำมาโพสต์อวดทางอินสตาแกรม แถมยังมีภาพวิดีโอเผยให้เห็นตอนที่เธอทำท่าทางตื่นเต้นดีอกดีใจตอนที่พนักงานหยิบกระเป๋าขึ้นมาให้เธอดู

เรียกว่าจงใจจัดมาครบทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว คล้ายจะยืนยันว่าสิ่งที่เธอซื้อนั้นเป็นของแท้และแพงระยับ (ฉันรวยมากอะค่ะ)

หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องเมื่อเธอถูกโลกโซเชียลตั้งคำถามว่าผ่านศุลกากรเข้ามาโดยไม่ถูกเก็บภาษีได้อย่างไร เพราะตามระเบียบศุลกากร การซื้อสิ่งของจากต่างประเทศมูลค่าเกิน 2 หมื่นบาทต้องสำแดงและเสียภาษี

แบรนด์เนมที่เธอซื้อแค่ใบเดียวก็เกิน 2 หมื่นบาทไปไม่รู้กี่เท่าตัว (สนนราคาต่อใบของกระเป๋ายี่ห้อนี้หลายแสนบาท) แต่นี่กลับมีตั้ง 9 ชิ้น ก็เลยถูกตั้งคำถามว่าเธอใช้อภิสิทธิ์หรือไม่

เมื่อถูกวิจารณ์ เธอได้ลบภาพออกจากอินสตาแกรม ก่อนจะแถลงข่าวในภายหลังว่าสินค้าที่เธอซื้อยังไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทย จะนำเข้ามาภายหลังและจะเสียภาษีแน่นอน

แต่จะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเธอยังไม่ได้นำเข้ามา หากจะให้น่าเชื่อถือก็ต้องนำหลักฐานมาแสดงว่าเก็บไว้ที่ไหน รวมทั้งหลังจากนำเข้ามาแล้วก็ต้องมีหลักฐานว่าเสียภาษี

การแถลงข่าวดังกล่าวอาจเป็นเพียงการคิดหาเหตุผลมาตอบสังคมในภายหลังเพราะรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว

หากเรื่องไม่แดง เธอจะเสียภาษีหรือไม่ และเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะใช้วิธีนำกล่องหรือถุงออกเพื่อไม่ให้ดูเป็นของใหม่ แล้วก็อาศัยไหว้วานคนที่ไปด้วย (อาจจะหลายคน) ให้ช่วยถือกระเป๋า เพื่อให้ดูว่าเป็นกระเป๋าที่ใช้แล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมกันมากสำหรับพวกที่ชอบไปช็อปปิ้งต่างประเทศใช้หลบเลี่ยงภาษี

หลังจากนี้เธอยังมีการบ้านต้องทำให้เสร็จอีกเยอะ สื่อจะขุดคุ้ยให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้เห็นกับตาหรือมีการแถลงข่าวร่วมกับศุลกากรว่าเธอเสียภาษี

 

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่แพ้เรื่องการเสียหรือไม่เสียภาษีก็คือ ความเหมาะสมในการวางตัวในฐานะที่เป็นคนสาธารณะ การที่เธอแถลงข่าวแล้วอ้างว่าการโพสต์ภาพดังกล่าวเป็นความสุขส่วนบุคคล เป็นสิทธิส่วนบุคคล พร้อมกับบอกว่าไม่หวั่นไหวคำวิจารณ์ (อาจหมายความว่าจะทำแบบเดิมอีก) แสดงว่าจนถึงวันนี้เธอยังคิดไม่ได้หรือคิดไม่ทะลุ

คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะคิดว่าการโพสต์ภาพดังกล่าวเป็นแค่ความสุขส่วนตัวของเธอ แต่คือการจงใจ “อวดรวย” ซึ่งเป็นไปได้ว่าเธออาจอยากเกทับดาราหญิงด้วยกัน แต่บังเอิญว่าคนที่เห็นภาพไม่ใช่แค่ดาราในวงการด้วยกัน แต่คนทั่วไปอีกมากก็เห็นด้วย ซึ่งเชื่อแน่ว่าส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นเพื่อนฝูงหรือญาติก็คงไม่ได้รู้สึกชื่นชมเธอ

การไม่ชื่นชม ไม่ปลื้ม อาจไม่ได้หมายความว่าอิจฉา แต่อาจเป็นเพราะไม่ชอบใจ “พฤติกรรม” ของเธอที่ดูเหมือนต้องการข่มคนอื่นให้ด้อยกว่าหรือทำให้คนอื่นรู้สึกแย่

คิดในอีกแง่หนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าการที่ทำเช่นนั้นเป็นเพราะเธอขาดความมั่นใจในคุณค่าแท้จริงของตัวเอง จึงต้องใช้อย่างอื่นมารับประกัน หนก่อนหน้านี้ก็โพสต์ภาพเช่าเฮลิคอปเตอร์บินชมฮ่องกง

เจ้าตัวอาจมีความสุข พอใจ ที่ได้อวดและคิดในมุมเดียวว่าเป็นสิทธิส่วนตัว แต่สำหรับวิญญูชนแล้วเขามองว่าคนเช่นนั้น “ตื้นเขิน” ในการใช้ชีวิตและวิธีคิด เผลอๆ อาจถูกเบ้ปากใส่ว่าเป็นพวก “มือใหม่หัดรวย” เลยตื่นความรวย ดูตลก ไร้สาระ

ความรวย ความสวยและความเก่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นในการพูดถึงเรา ไม่ใช่เราไปอวดอ้าง ยกหางตัวเอง หากทำแบบนั้นเมื่อไหร่ก็เจ๊ง คนเบือนหน้าหนี

หากอยากอยู่อย่างยั่งยืนไม่ว่าจะในอาชีพไหน สังคมไหน ต้องรู้จักศิลปะการวางตัว-การประพฤติตัวให้เหมาะสม