รัสเซียเผชิญข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยูเครน/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

มงคล วัชรางค์กุล

 

รัสเซียเผชิญข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยูเครน

 

The Wall Street Journal ฉบับเสาร์-อาทิตย์ 2-3 เมษายน 2565 ลงพิมพ์ภาพใหญ่คลังน้ำมันรัสเซียถูกจรวดระเบิดไฟลุกท่วม

สอดคล้องกับภาพข่าวบน Fox News, CNN, MSNBC ที่แสดงภาพข่าวคลังน้ำมันรัสเซียโดนระเบิดควันสีแดง, ดำโขมง มีภาพ ฮ.บินเข้าโจมตี

ทีวีทั้ง 3 ช่องบอกว่าเป็นครั้งแรกของสงครามบุกยูเครนที่รัสเซียโดนยูเครนบุกเข้ามาโจมตีในดินแดนรัสเซีย

WSJ รายงานว่าบริเวณนั้นคือ คลังน้ำมันแถบเมือง Belgorod ของรัสเซีย ใกล้ชายแดนยูเครน ยูเครนใช้ ฮ. Mi-8 2 ลำ บินในระดับต่ำเข้าโจมตี

ทีวีรัฐบาลรัสเซีย ช่อง RIA Novosti นำภาพคลังน้ำมันโดนจรวดหลายลูกโจมตีจนไฟลุกไหม้แดงฉาน ควันดำโขมง เผยแพร่ออกอากาศ หัวหน้ารัฐบาลท้องถิ่นของเมือง Belgorod เขียนใน social media ว่า ฮ. 2 ลำของยูเครนเป็นผู้ปฏิบัติการ

โฆษกเครมลินเตือนว่า การโจมตีคลังน้ำมันสร้างความเสี่ยงทางการทูตที่จะยุติสงคราม

ทางฝ่ายยูเครนไม่ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบในการโจมตีครั้งนี้

WSJ บอกว่า นี่เป็นครั้งที่สองที่ยูเครนเข้าโจมตีในดินแดนของรัสเซีย

เมือง Mariupol ยังเป็นศูนย์กลางของความกดดันสูงสุด รัสเซียประกาศเปิดทางให้ชาวเมือง Mariupol อพยพออกจากเมืองเข้าไปในเขตของยูเครนในวันศุกร์ที่ 1 เมษายน ภายใต้ข้อตกลงของกาชาดสากลกับกาชาดรัสเซีย

ในวันศุกร์ที่กล่าวถึง เจ้าหน้าที่ของกาชาดสากลไม่สามารถเดินทางมาถึงเมือง Mariupol ได้ การอพยพจึงยังไม่เกิดขึ้น

หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายหนังสือพิมพ์ของประธานาธิบดีเซเลนสกีบอกว่า มีคน 3,000 คนเตรียมอพยพ แต่มีคนอีกหลายพันคนยังติดอยู่ในเมือง Mariupol

จะมีความพยายามอพยพอีกครั้งในวันเสาร์ 2 เมษายนที่ผ่านมา

WSJ รายงานว่า รองนายกรัฐมนตรียูเครน Iryna Vereshchuk กล่าวว่า กองกำลังรัสเซีย “ปล้น “อาหารหลายตันและยารักษาโรคจากรถบัสช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมหลายคันที่มาถึงเมือง Melitopol ห่าง 110 ไมล์จาก Mariupol

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนแจ้งเมื่อวันศุกร์ว่า มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันครั้งที่ 2 ที่เมือง Zaporizhzhia เชลยศึกยูเครเนี่ยนไก้กลับคืนมา 86 คน แต่ไม่มีการแจ้งว่าปล่อยเชลยศึกรัสเชี่ยนไปกี่คน

เชลยศึกยูเครนเล่าบน CNN ว่า ถูกปืนกลตบแก้มจนฟันร่วงหมดปาก

ประธานสภายุโรปเป็นผู้หญิงชื่อ Roberta Metsola เดินทางไปพบกับเซเลนสกีเมื่อวันศุกร์ 1 เมาายน ที่เคียฟ เซเลนสกีระบุการมาเยือนของประธานสภายุโรปว่า

“เป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนประเทศและประชาชนยูเครน”

ที่วอชิงตัน ดี.ซี. โฆษกทำเนียบขาว Jen Psaki บอกว่าสหรัฐได้ส่งมอบอุปกรณ์ป้องกันอาวุธเคมีและชีวภาพให้ยูเครนไว้ป้องกันตัว เพราะสหรัฐเชื่อว่ามอสโกอาจใช้อาวุธทั้ง 2 ชนิดนั้น

WSJ ฉบับเดียวกันมีรายงานข่าวว่า มอสโกกำลังจัดวางกำลังรบใหม่ ส่งสัญญาณเตรียมพร้อมเพื่อการ “รบยาว”

เดิมรัสเซียคาดว่าจะเผด็จศึกยูเครนได้ในเวลา 4 วัน ตอนนี้การรบผ่านมา 5 อาทิตย์แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของชัยชนะ

รัสเซีย “หมุน” กำลังโดยเริ่มถอนทหารจากแนวหน้าปิดล้อมเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน และเมืองอื่นทางเหนือของยูเครน เริ่มถอนกำลังพฤหัสฯ 31 มีนาคม หันไปปิดล้อมเขตยึดครองทางตะวันออกของยูเครนแทน

ก่อนหน้านี้ รัสเซียถอนตัวจากการยึดครองโรงไฟฟ้าปรมาณู Chernobyl

การผลัดเปลี่ยนกำลังของรัสเซีย ภายหลังการรบยาว 5 อาทิตย์ เป็นการประเมินความสามารถและความมั่นใจของกองกำลังยูเครนในการรบของเครมลินว่า จะต้องทำสงครามระยะยาวกับยูเครน

การโจมตีตอบโต้ของยูเครน – รวมทั้งการส่ง ฮ.เข้ายิงจรวดในดินแดนรัสเซีย และการปรับการควบคุมดินแดน Donbas ทางตะวันออกยูเครนของรัสเซีย บ่งบอกว่าทั้งสองฝ่ายต่างมั่นใจในชัยชนะ ดังนั้น การเจรจาสันติภาพคงไม่อาจบรรลุผลในเวลาอันสั้น

“วัตถุประสงค์ทางทหารและเป้าหมายทางการเมืองของรัสเซียไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือยังคงการทำลายล้าง (annihilate) ยูเครน” รัฐมนตรีกลาโหมยูเครนคนที่แล้ว ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเซเลนสกีกล่าว “แต่ทว่าขีดความสามรถของกองกำลัง (รัสเซีย) ไม่ได้ส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายอีกต่อไป”

 

หลักของการทำสงครามระยะยาว คือต้องเพิ่มเดิมพันทั้งสองฝ่าย เพิ่มกำลังรบ เพิ่มเงิน เพิ่มอาวุธ เพิ่มกระสุน และการส่งเสบียงบำรุง

กองกำลังยูเครนที่มีขนาดเล็กกว่า มีความคล่องตัวในการจัดวางกำลัง รวมถึงการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักเช่นรถถังและปืนใหญ่มากกว่า

ขณะเดียวกัน การที่รัสเซียมุ่งปกป้องเขตยึดครอง Donbas ทำให้การจัดรูปกำลังของรัสเซียส่วนหน้าย่อส่วนเล็กลง ระยะส่งกำลังบำรุงสั้นลง และการคุ้มครองทางอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้น

มอสโกมีโอกาสประสบความสำเร็จทางทหารมากขึ้น

นอกไปจากนี้ การที่รัสเซียถอนกำลังออกจากเคียฟ ทำให้ยูเครนมีโอกาสจัดรูปกำลังรบใหม่ มุ่งหน้าสู่แนวหน้า Donbas ได้เร็วขึ้น เพราะระยะทางสั้นลง

รัสเซียส่งกองกำลังที่ดีที่สุดเพื่อมายึดเคียฟและทางเหนือของยูเครน หลายคนเคยผ่านการรบที่โหดร้าย ต้องการเวลาเพื่อเสริมสร้างและปรับปรุงมาใช้งานใหม่

ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันประเมินว่า ทหารรัสเซีย 10,000 คนจากกองกำลัง 190,000 คนในยูเครน ถูกฆ่าตาย อีกหลายหมื่นคนบาดเจ็บหรือถูกจับเป็นเชลย กองพันรถถังชั้นยอด ที่ 4 “Kantemirovskaya” สูญเสียรถถัง 26 คันจากจำนวนรถถัง T-80 ที่มีอยู่ 220 คัน ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์ของนักการทหาร

มีคำถามว่า ทำไมรถถังรัสเซียถูกทำลายเยอะ CNN บอกว่าเป็นเพราะรถถังรัสเซียรุ่นนี้ผลิตในยูเครนในสมัยที่เป็นอดีตสหภาพโซเวียต ดังนั้น คนยูเครเนียนจึงรู้จุดอ่อน จุดแข็งของรถถังดี เข้าโจมตีได้ถูกจุด

 

นายพลอากาศ Air Marshal Edward Stringer ผู้บัญชาการกองกำลังกลาโหมอังกฤษ และหัวหน้าผู้อบรม training program ในยูเครน มีความเห็นว่า

“กองกำลังรบที่ดีที่สุดของรัสเซียได้ถูกส่งเข้าสงครามหมดแล้ว ดังนั้น ปูตินจะต้องสร้างกำลังรบใหม่ ซึ่งการระดมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ภายใต้การ Sanction และความมุ่งมั่นของเขา”

ปูตินเพิ่งลงนามเรียกกองกำลังสำรอง 138,000 คนเมื่อเร็วๆ นี้ เตรียมพร้อมสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่จะส่งเข้ายูเครน

เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ทำเนียบขาวประกาศให้ความช่วยเหลือยูเครนอีก 300 ล้านดอลลาร์ รวมความช่วยเหลือที่ให้ยูเครนแล้วทั้งหมด 2,300 ล้านดอลลาร์

ความช่วยเหลือรอบใหม่ประกอบด้วย

– โดรนสังหาร – Suicide drones

– อุปกรณ์สู้รบกลางคืน – Night vision equipment

– ชุดต่อต้านโดรน – Anti-drone systems

– ยานยนต์หุ้มเกราะ – Armored vehicles

– เครื่องกระสุน – Ammunition

The New York Times 2 เมษายน 2565 รายงานว่า สหรัฐจะจัดส่งรถถังรัสเซียให้ยูเครน CNN บอกว่าจะเป็นรุ่น T-75 ซึ่งเป็นรถถังที่ยูเครนรู้จักดี ใช้งานเป็น แต่ข่าวไม่ได้บอกว่า จะเป็นรถถังรัสเซียจากประเทศใด จำนวนกี่คัน และจะส่งมอบเมื่อใด เพียงแต่ย้ำว่า การส่งมอบจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน ไม่ใช่นานเป็นอาทิตย์

เมื่อวันพฤหัสที่ 31 มีนาคม 2565 รมต.กลาโหมอังกฤษแถลงว่า จากการประชุมผู้ร่วม “ลงขัน” 35 ประเทศในการส่งอาวุธให้ยูเครนมีความเห็นร่วมกันในการส่งปืนใหญ่วิถีไกล, ยานยนต์หุ้มเกราะ, counter-battery systems, จรวดต่อสู้อากาศยาน, coastal-defense weapons แต่ยังไม่รวมถึงรถถังและเครื่องบินรบที่เซเลนสกีขอมา

อาวุธเหล่านี้จะจัดส่งถึงยูเครนอย่างรีบด่วน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้ยูเครน

“อีกสามอาทิตย์ข้างหน้าจะเป็นข้อกำหนดที่จะบอกว่า สงครามยึดครองของรัสเซียจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้าเรา, ฝ่ายตะวันตก, รับรู้ถึงความเร่งด่วนและจัดส่งสิ่งที่ยูเครนร้องขอ ก็จะทะลุทะลวงเบื้องหลังของรัสเซียในขณะที่รัสเซียกำลังอ่อนล้า และยูเครนจะชนะได้” นายพล Ben Hodges อดีตผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐในยุโรปกล่าว

“แต่ถ้าเราไม่ตระหนักถึงความเร่งด่วนนั้น รัสเซียจะมีโอกาสจัดกองกำลังใหม่, จัดการส่งกำลังบำรุงใหม่, แล้วบดขยี้เมืองต่างๆ ในยูเครน และกองทัพยูเครน”

 

แล้วก็มาถึงข่าวที่สร้างความตกตะลึงแก่ชาวโลก นั่นคือการรายงานสดจากยูเครนตอนดึกราวเที่ยงคืนเวลาในสหรัฐ วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2565

CNN รายงานว่า จากการตรวจสอบในเมือง Bucha เมืองด้านข้างเมืองหลวงเคียฟ ซึ่งรัสเซียเพิ่งถอนตัวออกไป เมือง Bucha เป็นเมือง key town ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ Dnipro River นั้น

พบศพพลเรือนยูเครนถูกสังหารนอนตายอยู่บนถนน 20 กว่าคนถึง 30 คน บางคนถูกสังหารขณะขี่จักรยาน ศพคล่อมอยู่กับจักรยานที่กองอยู่บนพื้น, บางคนถูกสังหารในสภาพถูกมัดมือไขว้หลัง, หลายศพถูกยิงนอนตายบนพื้นถนน ทุกศพแต่งกายพลเรือน

เป็นภาพอเนจอนาถใจมาก

แต่ภาพที่น่าเอนจอนาถใจ สลดหดหู่ จนน้ำตาร่วงยิ่งกว่านั้น คือภาพรายงานข่าวสดทั้งจาก CNN, MSNBC, และ FOX NEWS ที่รายงานวันรุ่งขึ้นเช้า 3 เมษายน 2565 ว่า

จำนวนพลเรือนที่ถูกสังหารบนถนนในเมือง Bucha นั้นมากถึง 150-200 คน

ซากศพพลเรือนถูกสังหารนอนตายเกลื่อนอยู่บนท้องถนน ไล่เรียงกันไปเป็นระยะ คล้ายกับการวิ่งรถไล่กราดยิงคนเดินถนน บางแห่งเป็นหลุมศพหมู่ มีศพในถุงพลาสติกกองสุมกัน

พยานผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า ทุกศพถูกกราดยิงจากทหารรัสเซียน

วุฒิสมาชิกสภาอเมริกา พรรคเดโมแครตแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ประณามว่า

นี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)

กำลังจะมีการสอบสวนการสังหารหมู่ยูเครเนียน 150-200 คน ที่เมือง Bucha

ถ้าเหตุการณ์นี้เป็นความจริง

ปูตินก็จะเผชิญข้อกล่าวหาคืออาชญากรสงคราม (War Criminal) ตัวจริง