ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 เมษายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | คุยกับทูต |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
ชนัดดา ชินะโยธิน
คุยกับทูต : โจเซ่ บอร์เจส โดส ซัสโตส จูเนียร์
จากดินแดนมหัศจรรย์แห่งอเมริกาใต้-บราซิล (1)
คนไทยมักรู้จักบราซิลเพราะชื่อเสียงของนักบอลระดับโลก และนักบอลบราซิลก็มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก บราซิลเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 5 สมัย
เป็นดินแดนแห่งกาแฟและส่งออกกาแฟมากที่สุดในโลก
มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในผืนป่าแอมะซอน ป่าซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลภูมิอากาศโลก ช่วยต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

ประชากรบราซิล 220 ล้านคน มากเป็นอันดับ 6 ของโลก พื้นที่ประเทศเกือบเท่าประเทศจีน 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก
ณ อาคารที่พำนักอย่างเป็นทางการของเอกอัครราชทูตบราซิล ในบริเวณอันเงียบสงบย่านถนนเชื้อเพลิง กรุงเทพฯ ภายในตกแต่งด้วยภาพเขียนงดงามจากบราซิล เราได้นั่งสนทนากับเอกอัครราชทูตโจเซ่ บอร์เจส โดส ซัสโตส จูเนียร์ (H.E. Mr. Jose Borges dos Santos Junior)
เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อประเทศไทย ตลอดจนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ

“ผมเดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนปี 2021 และได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายอักษรสาส์นตราตั้งเป็นเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลประจำประเทศไทย มีเขตอาณาครอบคลุมประเทศกัมพูชาและลาว ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน”
ประเทศไทยและบราซิลสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1959
“คุณรู้หรือไม่ว่า บราซิลก็เคยมีกษัตริย์ปกครอง เมื่อประเทศเพื่อนบ้านเป็นสาธารณรัฐ แต่บราซิลเป็นราชอาณาจักร เพราะเจ้าชายแห่งโปรตุเกสได้ลี้ภัยไปบราซิลครั้งที่นโปเลียนบุกโปรตุเกส และเมื่อเจ้าชายเสด็จกลับโปรตุเกส ก็ได้แต่งตั้งพระราชโอรสเป็นเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่บราซิล”
หลังจากนโปเลียนยึดครองโปรตุเกส ราชวงศ์บราแกนซา (Bragança) ได้ย้ายราชสำนักลี้ภัยไปตั้งอยู่ที่บราซิลซึ่งเป็นอาณานิคมที่สำคัญที่สุดของโปรตุเกส หลังจากนั้นก็กลายเป็นเมืองหลวงของสหราชอาณาจักรโปรตุเกส บราซิล และแอลการ์ฟ (Algarve)
ราชวงศ์บราแกนซา เป็นราชวงศ์ที่ปกครองประเทศโปรตุเกสในตำแหน่งสมเด็จพระราชาธิบดี และประเทศบราซิลในตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดิ
การย้ายราชสำนักโปรตุเกสไปที่บราซิล หมายถึง การลี้ภัยของราชวงศ์บราแกนซา และข้าราชบริพารเกือบ 15,000 คน ออกจากกรุงลิสบอนในวันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 1807 สองวันก่อนที่กองทัพนโปเลียนจะยึดกรุงลิสบอนในวันที่ 1 ธันวาคม พระมหากษัตริย์บราแกนซาประทับอยู่ที่บราซิลตั้งแต่ ปี 1808 กระทั่งเกิดการปฏิวัติเสรีนิยม ปี 1820 ทำให้เจ้าชายฌูเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกส (John VI of Portugal -Jo?o VI de Portugal) เสด็จนิวัติเมื่อวันที่ 21 เมษายน ปี 1821
เป็นเวลา 13 ปีที่นครรีโอ เด จาเนโร (Rio de Janeiro) ของบราซิลมีสถานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรโปรตุเกส ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเรียกว่า “มหานครผกผัน” (metropolitan reversal) คือ เป็นอาณานิคมที่ปกครองจักรวรรดิโปรตุเกสทั้งหมด
หลังได้รับอิสรภาพจากโปรตุเกสเมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 1822 แล้ว บราซิลมีการปกครองโดยระบอบราชาธิปไตย จักรวรรดิบราซิลรุ่งเรืองมาจนถึงการก่อตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ปี1889 อันสืบเนื่องมาจากการเลิกทาสในบราซิลปี ค.ศ.1888
ในช่วงก่อนหน้านั้นบราซิลปกครองโดยจักรพรรดิสองพระองค์ คือ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ผู้ครองราชย์ระหว่างปี 1822-1831 และพระราชโอรสคือ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ผู้ครองราชย์ระหว่าง ปี 1831-1889 ส่วนพระเจ้าโจเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกสทรงดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิแห่งบราซิลในข้อแม้ที่ระบุในสนธิสัญญาในการยอมรับอิสรภาพของบราซิล
จักรพรรดิเปดรูที่ 2 มีพระสมัญญานามว่า “ผู้มีจิตใจสูงส่ง” (the Magnanimous) ทรงเป็นประมุขพระองค์ที่สองและพระองค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิบราซิล
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกิดพายุฝน ลูกเห็บ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้ำท่วม ดินถล่มแบบเฉียบพลันทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่เมืองเปโตรโปลิส (Petropolis) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่บนเนินเขาที่สวยงามของนครรีโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล
“เมืองเปโตรโพลิสนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิแห่งบราซิลที่ 2 (Pedro II – Emperador de Brasil) เนื่องจากนครรีโอ เด จาเนโร มีอากาศที่ร้อนมาก จักรพรรดิจึงนำวิศวกรมาจากเยอรมนี และสร้างเมืองบนภูเขาใกล้นครรีโอ เด จาเนโร”
ชื่อของเมืองนี้ถูกตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล จึงมีฉายา “Imperial City” เป็นเมืองที่ชาวเยอรมันมีอิทธิพลอยู่มาก เคยเป็นที่ประทับฤดูร้อนของจักรพรรดิและขุนนางบราซิลในศตวรรษที่ 19 และเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของนครรีโอ เด จาเนโร ในช่วงสาธารณรัฐบราซิลที่ 1ระหว่างปี 1894-1902

ชีวิตนักการทูตอาชีพ
“ผมเกิดในเมืองชื่อโบอา วิสต้า (Boa Vista) ทางตอนเหนือของบราซิล เป็นนักการทูตมากว่า 41 ปีนับตั้งแต่เข้ารับราชการกระทรวงต่างประเทศช่วงทศวรรษ 1980 ผมมีความภูมิใจที่เป็นเอกอัครราชทูตคนแรกของเมืองที่ผมอยู่”
“มีอยู่วันหนึ่ง คุณแม่ได้มอบกล่องเล็กๆ ให้ ซึ่งในนั้นบรรจุสิ่งของที่ผมใช้ในวัยเด็ก เช่น หนังสือสำหรับเด็ก ในหนังสือเขียนไว้ว่า คุณพ่ออยากให้ผมเป็นนายแพทย์ ส่วนคุณแม่อยากให้ผมเป็นนักการทูต”
“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้รับการปูพื้นฐานจากครอบครัวเป็นอย่างดีตั้งแต่อายุยังน้อย คุณแม่ซึ่งเตรียมให้ผมเป็นนักการทูต ได้ส่งผมไปเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกา และเรียนภาษาฝรั่งเศสที่ Alliance Française”
“ก่อนที่จะย้ายมากรุงเทพฯ ผมเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเขตอาณาครอบคลุมราชรัฐลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein) ตั้งแต่ปี 2016-2018”
“สำหรับเมืองที่เคยไปประจำการ ได้แก่ ลอนดอน แคนเบอร์รา ซานฟรานซิสโก บรัสเซลส์ โบโกตา ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก และฮูสตัน”
“นับเป็นครั้งแรกที่ผมมาประจำในเอเชีย และประเทศไทยคือความปรารถนาสูงสุดของผม ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ผมมาประเทศไทย ซึ่งเป็นการมาประจำสถานทูตบราซิลกรุงเทพฯ”
“การมาเมืองไทยครั้งแรกนั้น ผมประจำสถานทูตที่กรุงแคนเบอร์รา (Canberra) เมืองหลวงของออสเตรเลีย และในระหว่างเดินทางกลับไปบราซิล ผมแวะที่กรุงเทพฯ ผมชอบประเทศไทยเพราะเป็นประเทศที่สวยงาม และเกือบทุกคนที่ผมรู้จัก ต่างก็เคยมาเยือนเมืองไทยกันทั้งนั้น ถือเป็นความคุ้มค่าแก่การมาเยี่ยมชม”
“ส่วนครั้งที่สอง เป็นการมาดูแลความเรียบร้อยของสถานทูตที่นี่ โดยพักที่บ้านท่านทูตหลังนี้ ตอนนั้นคือ เอกอัครราชทูต Edgard Telles Ribeiro”

สาเหตุที่เลือกมาประจำประเทศไทย
“เพราะเอเชียเป็นภูมิภาคแห่งอนาคต และประเทศไทยอยู่ตรงใจกลางของภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion – GMS) สะดวกในการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าและท่องเที่ยวตามเส้นทางสายไหมใหม่”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญมากสำหรับบราซิล การส่งออกของเรามายังประเทศไทย มากกว่าเราส่งออกไปฝรั่งเศส ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยสามารถเป็นประตูสำคัญสู่อาเซียน เอเชีย และจีนได้ทั้งหมด”
โครงการ GMS เป็นความร่วมมือของ 6 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน (ยูนนาน) ตั้งแต่ปี 1992 ผู้ให้การสนับสนุนหลัก คือ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank-ADB)
กลุ่มประเทศ GMS มีพื้นที่รวมกันประมาณ 2 ล้าน 3 แสน ตารางกิโลเมตร หรือประมาณพื้นที่ของยุโรปตะวันตก มีประชากรรวมกันประมาณ 250 ล้านคน และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางในการเชื่อมโยงติดต่อระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ที่สำคัญคือ ไทยเป็นประเทศที่ผู้คนเป็นมิตร มีอัธยาศัยไมตรี และให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นจุดศูนย์กลางของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การเงิน อีกทั้งมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย โดยเราสามารถเข้าถึงสิ่งทันสมัยในโลกได้อย่างง่ายดาย” •